วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 1/15 (2)


พระอาจารย์
1/15 (25530331A)
31 มีนาคม 25553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 1/15 ช่วง 1


โยม –  แล้วมันจะรู้ว่าไม่ใช่เราคิดนะ มันคิดของมันไปเอง มันก็ไปรู้เฉย ๆ ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์  มันไม่สนใจด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นความคิดหรือไม่คิด


โยม –  เป็นแค่อาการ อะไรอย่างนี้

พระอาจารย์ –  เป็นเหมือนลมน่ะ เหมือนลมแผ่วๆ อย่างนี้ ไม่ได้ไปสนใจด้วยว่ามันคิดเรื่องอะไรด้วยซ้ำ คิดแล้วบางทีคิดไปทั้งวัน กลับมารู้ตัวปุ๊บ มันรู้ปุ๊บ...'คิดอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง' 

ทั้งที่คิดทั้งวันนะ คิดตลอด แต่พอรู้ก็ 'คิดอะไรนะ...จำไม่ได้' ทั้งที่คิดจนหัวแทบปรุเลยนะ แต่ว่าพอถามดูจริง ๆ นะคิดเรื่องอะไร ไม่รู้หรอก คือมันไม่ให้ความสำคัญเลย ...มันจะเป็นอย่างนั้น

เพราะงั้นไม่ใช่ว่าวางแล้วหมายความว่าทุกอย่างต้องดับหมดนะ หรือว่าไม่เกิด หรือว่าน้อยลง ...มันก็เป็นตามธรรมดาของขันธ์น่ะ รูปขันธ์เป็นธรรมดา 

เห็นมั้ย รูปขันธ์นี่เป็นทุกข์มั้ย ทุกข์ตลอดเวลานะ ...ไม่ชอบมันเหรอ ถ้ามันไม่ดีแล้วอยู่กับมันทำไม ดับมันสิ ...มันก็ไม่ดับให้น่ะ มันไม่ดับนะนี่ มันไม่ตายน่ะ 

เห็นมั้ย มันก็ยังดำเนินไปตามปกติของมัน อยากให้มันดับ หรือเราไม่เอากับมันแล้วนี่เราจะอยากให้มันดับ แต่มันไม่ดับนี่ ...รู้ว่ามันเป็นทุกข์ ก็ดับมันไม่ได้ 

เขาก็ดำเนินไปตามปกติของธาตุของขันธ์ ของธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะหก ...เป็นธรรมดา ... แต่ว่าเราไม่ไปเดือดไปร้อนกับมันต่างหาก

อย่างเป็นผู้หญิง ...ไม่พอใจ เห็นว่าเป็นผู้หญิงเป็นทุกข์ อยากเป็นผู้ชาย ... เลือกได้มั้ย บอกมันได้มั้ย มันฟังมั้ย มันเปลี่ยนให้เรามั้ย มันแก้ได้มั้ย  

เห็นมั้ย ไอ้พวกนั้นเป็นเรื่องความอยากกับความหมายมั่น  ผู้หญิงก็ผู้หญิง จบ ไม่มีความหมายมั่นว่าจะต้องให้เป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไร ...อย่างนี้ยอมรับตามความเป็นจริง

เขาก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยของเขา แก่ก็แก่ ตายก็ตาย สุดท้ายเวลาตายก็มองเห็นเป็นธรรมดา ดับไปก็เป็นธรรมดา ไม่ได้ตื่นเต้นตกอกตกใจ หรือว่าเสียอกเสียใจ หรือว่ากังวล หรือว่าอะไรต่างๆ นานา


โยม –  พระอาจารย์คะ โยมเคยน็อกไปแบบไม่รู้สติเลย แล้วมันก็จำอะไรไม่ได้  แต่เคยตั้งใจว่าถ้าจะตาย ขอตายแบบรู้ตัว รู้ทุกขณะ มันแตกต่างกันไหมคะอย่างนี้

พระอาจารย์  แตกต่าง ... แต่ว่ามันไม่ได้รู้ได้ด้วยความอยาก  มันต้องฝึกไปอย่างนี้ รู้ไปเรื่อย ๆ รู้กายรู้จิตไปเรื่อยๆ


โยม –  ก็เวลามันช็อก มันไม่ได้บอกล่วงหน้า มันช็อกไปเลยอย่างนี้

พระอาจารย์   บอกแล้วไง ...ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเราฝึกสติสัมปชัญญะอย่างนี้ ...ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นกะทันหันขนาดไหน เวลาไหน ...มันจะรู้ บอกให้เลย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล 

มันจะรู้ของมันเอง มันไม่ไปไหนหรอก มันก็กลับมารู้ที่ขันธ์นั่นแหละ ...อาจจะเหมือนไม่ได้อะไร หรือว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ว่าพอถึงเวลาเหตุการณ์จริงอย่างนั้นปุ๊บ ...มันจะกลับมารู้เลย  

แต่ว่ารู้แล้วมันจะวางหรือไม่วางนั่นอีกเรื่องนึง เข้าใจมั้ย ... แต่ถ้าเป็นพระอริยะ พระอรหันต์ คือ ท่านเห็นแล้วท่านวางเลย

แต่ถ้าเรารู้ ...อาจยังไม่วาง ยังติด ยังกังวล ยังหวงแหน ยังอาลัย  ยังไม่น่าตายเลย อะไรก็ตาม...อาจจะมีอารมณ์ต่อเนื่องออกมา ... มันแล้วแต่ อันนี้แล้วแต่กำลังของปัญญา
 
แต่ถ้าเป็นพระอริยะท่านกลับมารู้แล้วก็เห็นเป็นธรรมดา ...ไม่ว่าอะไร อาการไหน กลับมารู้ปุ๊บ เห็นปั๊บ ...ธรรมดา ไม่ได้ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ ดีใจ พอใจหรือไม่พอใจอะไร 

เห็นอะไร ก็...ธรรมดา ...เป็นธรรมดา มันเป็นเช่นนั้น ...เคยได้ยินใช่มั้ย มันเป็นเช่นนั้นเองเนอะ 

แต่พอเราดูปุ๊บ... "เอ๊อะ ไม่ได้เว้ย"  รู้ปุ๊บ... "เอ้ย มันน่าจะยังงี้นะ"  เห็นมั้ย นี่คือว่ามันยังข้อง มันยังคา มันยังติด มันยังหวงแหน มันยังอาลัย มันยังเสียดาย มันยังกังวล  

เพราะงั้นก็ตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง ... ดูปุ๊บ มีปัญหาปั๊บ ใช่เลย...กลับมาเกิดแน่ เข้าใจมั้ย 

ถ้าดูปุ๊บหลุด ดูปุ๊บคลาย ดูปุ๊บหาย ดูปุ๊บสบาย ดูปุ๊บไม่มีปัญหา ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อแม้ ...ไม่ต้องถามเลยว่าภพท่านจะมาอยู่ไหน จะเกิดหรือไม่เกิด ไม่มีปัญหาทุกเรื่องราวหรือว่าทุกสรรพสิ่ง ไม่มีข้อแม้แม้แต่ข้อแม้เดียว 

ถ้าเรายังเอ๊อะ ยังแอ๊ะ อ๊ะ  อู๊ ฮื้อ อะไรพวกนี้...เกิดดด  ชัวร์  ตายแล้วเกิดๆ แน่นอน ...ไม่ต้องไปถาม ไม่ต้องให้อาจารย์พยากรณ์ ตัวเองพยากรณ์ได้เลย ...แต่ถ้าดูแล้วไม่มีเงื่อนไข ไม่มีปัญหา ไม่มีข้อแม้ ...จบ 

แต่ถ้าจิตตั้งข้อแม้ ตั้งเงื่อนไขขึ้นมา แปลว่ามันยังมีความหมายมั่น...ในภพ  คือมันคิดว่าน่าจะมีเวทนาอย่างนั้น อารมณ์นั้นๆ ที่ดีกว่า...ให้เลือก ...แล้วมันยังเลือก เข้าใจมั้ย

นี่คือข้อง ...ยังทะยานไปในภพ ยังทะยานอยู่ในภพอยู่ ยังไม่เห็นตามความเป็นจริงจนถึงที่สุดว่า จนสุดท้ายที่สุดไอ้ที่ว่าดีกว่าอารมณ์ตรงนี้ เวทนานี้ ...สุดท้ายแล้วมันก็ดับไป 

เข้าใจไหม คือมันไม่เห็นตรงนี้ว่า...ถึงจะหาใหม่ ไอ้ที่ได้มาใหม่มันก็ดับไปเป็นธรรมดา ...แต่มันคิดว่าไอ้นี่ไม่ดี จะทำให้มันดับแล้วไปเอาอันใหม่อันที่ดีกว่า...เพื่อจะไปเสวย  

นี่เรียกว่า...ไม่รู้  ด้วยความไม่รู้...จิตจึงเข้าไปก่อภพ ยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นภพเป็นชาติ  ถ้ามีภพขึ้นแล้วเข้าไปกระทำให้เกิดขึ้นมาเรียกว่าชาติ ...มีชาติเกิดแล้ว 

เมื่อมีชาติเมื่อไหร่ โศกะ ปริเทวะ สุข ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บไข้ได้ป่วย...เป็นธรรมดา ตาย...เป็นธรรมดา นี่ มีแต่ทุกข์กับทุกข์ ...แต่พวกเราก็คิดว่าสุข

เพราะมันไม่มีใครแสวงหาทุกข์หรอก เข้าใจมั้ย  แต่ว่าจิตมันจะหลอก ...ว่ามันเป็นสุข ...แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏหรือที่เกิด ท่านเรียกว่า...ทุกข์


โยม –  แต่คนเราทำทุกอย่างเพื่อจะสุข

พระอาจารย์ –  มันคิดเอาว่าเป็นสุข ... แต่ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าที่มันเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ...เพราะอะไร ...เพราะมันไม่เที่ยง เข้าใจมั้ย  อาการของทุกข์ ความเป็นจริงของทุกข์นี่คือความไม่เที่ยง มันจึงเรียกว่าทุกข์  

สุขก็ไม่เที่ยงใช่ไหม ...เพราะงั้นสุขนี่ ก็คือทุกข์อันหนึ่ง เพราะมันไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้ ควบคุมไม่ได้อย่างนี้  นี่คืออาการของทุกข์ ...แต่คนจะติดเห็นแค่ว่ามันเป็นสุขเวทนา 

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าอาการนี่คือทุกข์ ...เพราะมันคงอยู่ไม่ได้ มันไม่เสถียร มันไม่มั่นคง มันไม่สามารถเรียกมาได้ตลอดเวลา ว่าเป็นของเราหรือของใคร หรือว่าเอามาให้กันได้ อย่างนี้ 

แล้วมันไม่ได้เป็นตัวเป็นตนอะไร  อย่างว่า เอ้า...สุข จับไว้เลย อย่างนี้  มันไม่ใช่อย่างนี้นะ ...มันจับต้องไม่ได้ มันไม่มีตัวมีตน มันไม่มีความเสถียรภาพในตัวของมันเลย

มันอยู่ที่เหตุปัจจัย...ของเหตุและปัจจัย จึงจะเกิดอาการหรือเวทนานั้นๆ ขึ้นมา ...แล้วก็เกิดแค่ขณะเดียวเอง ชั่วขณะ ชั่วคราว ประเดี๋ยวประด๋าว  

แต่เราไม่เห็นความประเดี๋ยวประด๋าว...เราติดใจ มันมีความติดใจ มันมีความตรึงใจ ...มันมีความกำหนัด  เคยได้ยินคำนี้ไหม ...มันกำหนัด มันย้อมจิต 

เวทนาพวกนี้มันจะมาย้อมใจเราให้เกิดความคลอเคลีย ไม่ปล่อยไม่วาง ไปแนบแน่น อิ่มเอิบ กำหนัดในอารมณ์ เวทนานั้นๆ ...ตรงนี้แหละที่มันเลิกละได้ยาก 

เพราะมันเคยเสพมา ใช่มั้ย มันมีความย้อมใจ มันติด มันข้อง ...ไอ้ความติดความข้องนี่มันเลยไปเบี่ยงเบนความเห็นที่ว่ามันไม่จีรัง มันไม่คงอยู่ มันไม่ถาวร    

ความไม่รู้...มันจะหลอก มันจะหลอกให้หาอารมณ์ใหม่มาทดแทนอยู่ตลอด หาภพมาทดแทนตลอด หนีภพปัจจุบันตลอด ...ภพปัจจุบันมันไม่ค่อยชอบเสวย 

พอไม่มีอะไร ก็ว่าจะโง่บ้าง จะไม่มีปัญญาบ้าง พอไม่รู้อะไรก็ว่ามันจะไปไหนไม่ได้บ้าง เห็นมั้ย อย่างนี้  แม้แต่การปฏิบัติธรรมน่ะ มันยังแสวงหาภพใหม่เลย 

จะให้จิตรู้อะไรที่ดีกว่านี้ ให้จิตเห็นอะไรที่ดีกว่านี้ ที่มันดูเป็นธรรมมากกว่านี้ ...เลือก เห็นมั้ย มีการเลือก มีข้อแม้ใช่มั้ย มีเงื่อนไขใช่มั้ย  เนี่ย ตายปุ๊บเกิด...จบ  แค่นั้นเอง   

แต่ถ้าไม่มีข้อแม้ ไม่มีปัญหา ไม่มีเงื่อนไข ...อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ยังไงยังงั้น  มากก็มาก น้อยก็น้อย ไม่มีก็ไม่มี ...คือว่ากันตรงๆ ซื่อๆ น่ะ ไม่มีว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้

ไม่มีการคะเนเอา ไม่มีการประเมิน ไม่มีการประมาณ ไม่มีว่าความน่าจะเป็น ...คือเอาว่าเดี๋ยวนี้ ยังไงยังงั้น เท่าที่มีเท่าที่เป็น แค่นั้นเอง ...แล้วจะตรงที่สุด แล้วจะไวที่สุดแล้ว 

ไม่ใช่มานั่งแสวงหาว่าทำจิตให้เป็นยังไงยังงั้น  หรือว่าให้จิตมันต้องไปรู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้  อันนั้นมันเป็นแค่มายาหนึ่งของจิตเท่านั้น หรือว่าความปรุงแต่ง หรือว่าเป็นภพลอยๆ ที่ยังจับต้องอะไรไม่ได้
 
เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมทำไมถึงจึงทุกข์ล่ะ  เนี่ย มันไปอยู่กับภพลอยๆ ความเห็นลอยๆ ที่คาดแล้วก็... "ทำไมไม่ได้สักทีวะ ทำไมไม่ไปสักทีวะ ทำไมมันไม่เห็นอย่างนั้นสักที" เนี่ย ทุกข์ ยิ่งทำยิ่งทุกข์ 

เพราะมันทำไม่ถูกที่น่ะ ...ท่านให้อยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ แต่เดินจงกรมกันนี่ ไปอยู่กับสภาวะไหนก็ไม่รู้  อย่างนี้ ...นี่มันมีจิตลึกๆ ที่ปรารถนาจะให้เกิดอะไรขึ้นมา หรือให้เห็นอะไรขึ้นมา 

แล้วพอเห็นอะไรขึ้นมาก็วี๊ดว้ายกระตู้วู้ ดีอกดีใจ ตื่นเต้น "อุ๊ย ได้ดังคาดเลย เราปฏิบัติได้ผลจริงๆ"


โยม –  เขาพูดกันมาเยอะไงคะ อยากทดลองดู

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นมันก็ว่าการปฏิบัติมันต้องได้ผล พอได้ผลปุ๊บนี่ ...เหมือนหมางับกระดูกเลย ปั๊บ “ของกู ใช่เลย  ทำมา เราทำ ใช่เลย ได้ผลแล้ว”  

แต่ถ้าเดินแบบ ลอยๆ แล้วไม่มีอะไร กำหนดแล้วก็รู้สึกซึมๆ เซื่องๆ งง ๆ พอเลิกปุ๊บ “วันนี้ไม่ได้ผลเลย” ... นี่ เห็นมั้ย มันมีความปรารถนา...ใช่มั้ย ลึกๆ น่ะ ดูให้ดี สังเกตดู 

แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจทำ เห็นมั้ย นั่งธรรมดานี่ รู้อยู่อย่างนี้ สบายกว่า ไม่ต้องไปอะไร ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ดูเห็นอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ไม่ต้องหนีมัน อย่างนี้ ...เพราะรูปขันธ์มันมีอยู่แล้วตามความเป็นจริง 

เราไม่ต้องไปสร้างมัน หรือสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมา ไปจำลองเพื่อให้เกิดสภาวะจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้จิตเห็นอะไรขึ้นมา ...มันไม่ต้องไปคาดคั้นสภาวธรรม พูดงั้นเหอะ

เพราะฉะนั้นสภาวะธาตุ สภาวธรรม มันมีปรากฏตามความเป็นจริงทุกขณะ ทุกเวลา ทุกกาลเวลาสถานที่อยู่แล้ว ...ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่พูดว่า "อกาลิโก" หรอก  

อกาลิโก แปลว่าไม่ขึ้นด้วยกาลเวลา สถานที่ และบุคคลเลยนะ ...แล้วทำไมจะต้องปรากฏธรรมเฉพาะตอนเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือต้องอยู่คนเดียวล่ะ เข้าใจมั้ย 

พวกเราถูกปลูกฝังมาด้วยความรู้ความเห็นว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ซะก่อน ถึงจะเห็นธรรม รู้ธรรม ถึงจะฉลาด ถึงจะเกิดปัญญา แล้วก็เชื่อ...เชื่อหมดแหละ


โยม –  พระอาจารย์คะ สมมุติคนที่เขาทำใหม่ๆ ถ้าเขายังไม่ได้กล่อมเกลาเรื่อง...อย่างเช่น ต้องรักษาศีลอย่างนี้ ให้มันเกิดความดีพร้อมในร่างกาย มันก็วอกแวก มันก็ไม่ตั้งมั่น ควรจะให้เขาทำไหม

พระอาจารย์  ก็ได้ ก็ให้เขาทำไป เราก็ไม่แนะนำให้ไปไล่ตีหัวคน หรือว่าไปเบียดเบียนคนหรอก ... ทำไปเหอะ แล้วพอรู้ไป ฝึกไปทำไป แล้วจะรู้ว่าอะไรที่มันเป็นส่วนเกิน 

แค่ตั้งจิตไว้ ปรารถนาไว้ วิรัติไว้ก็เกินแล้ว ...แต่ตอนนี้มันยังไม่รู้สึกว่าเกิน มันรู้สึกว่าขาดอย่างเดียวแหละ นักปฏิบัตินะ ไอ้นั่นก็ขาด ไอ้นี่ก็ไม่พอ ไอ้นั่นก็ยังน้อย ไอ้นี่ก็ต้องอย่างนั้น มีแต่ขาด

แต่เราบอกเลย ไอ้ที่ขาดน่ะคือเกิน ...คือมันคิดเกิน ตั้งไว้เกิน มันเลยซับซ้อน มันเลยกลายเป็นของยาก  การปฏิบัติเลยเหมือนกับการเข็นช้างขึ้นภูเขาอย่างนี้ เข้าใจมั้ย เพราะเราไปตั้งไว้เกินน่ะ ตั้งไว้เกินๆ

เอาง่าย ๆ ก่อน  ดูง่ายๆ รู้ง่ายๆ รู้เบาๆ รู้สบายๆ รู้แบบไม่เครียด รู้แบบไม่เกร็ง รู้แบบง่ายๆ ธรรมดา ... ธรรมก็แปลว่าธรรมดา ธรรมก็คือว่าธรรมชาติ ธรรมก็แปลว่าปกติ 

นี่คือคำเดียวกันหมดแหละ ความหมายเดียวกันหมด จะเอาความหมายของธรรมยังไงล่ะ  หรือว่าแปลว่าความทรงอยู่ แปลว่าปกติ แปลว่าธรรมดา แปลว่า ธรรมชาติที่มีอยู่  นี่คือธรรม เข้าใจมั้ย

ไม่ใช่ว่าอยู่ในบาลี อยู่ในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วอย่างนั้นคือธรรม จะเห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องไปนั่งแปลไล่หาความหมายของศัพท์แสงนี้ บาลีนั้น ประโยคนี้  

แต่ถ้าธรรมในความหมายของความเป็นจริงนี่คือ...ปกติ ธรรมดา ธรรมชาติ สิ่งที่มีอยู่ตามความเป็นจริงแค่นี้เอง ...เพราะฉะนั้นเรากิน นอน เสพอยู่กับธรรมตลอดเวลา

แต่เราหนีธรรมตลอดเวลาเราปฏิเสธธรรมตลอดเวลา ไม่ยอมรับธรรมที่มีอยู่ตลอดเวลา ...แล้วจะไปหาธรรม...ที่ใหม่กว่า ดีกว่านี้ ตลอดเวลา 

อย่างนี้ เขาเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจรึยัง ความเห็นที่ผิด ความเห็นที่ไม่ตรง มันจึงเกิดทุกข์ซ้ำซากๆ

เพราะมันเห็นทุกอย่างผิดจากธรรมดา ...เห็นของธรรมดาเป็นของไม่ธรรมดา ทำสิ่งที่มันธรรมดาให้มันเป็นสิ่งที่ผิดธรรมดา มันจึงเกิดทุกข์ซ้ำซากด้วยความไม่รู้ แค่นั้นเอง

กลับมายอมรับง่ายๆ ปุ๊บ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ...ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้  สิ่งที่ปรากฏอยู่นั่นน่ะมันเป็นธรรมดา ...ก็อยู่แค่รู้ไป  

รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปหือ ไม่ต้องไปอือ ไม่ต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับมัน ไม่ต้องไปดีอกดีใจกับมันอย่างนี้ เขาเรียกว่ารู้เฉยๆ 

รู้แบบไม่ต้องคาดคั้น รู้แบบไม่ต้องเลือก รู้แบบไม่ว่ามันจะต้องเป็นยังไงหรือไม่เป็นยังไง ..เรียกว่ารู้เฉยๆ เรียกว่ารู้ธรรมดา เรียกว่ารู้แบบเป็นกลาง เรียกว่ารู้ในองค์มรรค เรียกว่ารู้ในมัชฌิมาปฏิปทา


(ต่อแทร็ก 1/15  ช่วง 3) 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น