วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แทร็ก 1/13 (1)


พระอาจารย์
1/13 (25530321B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
21 มีนาคม 2553
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กยาว แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงค่ะ)

พระอาจารย์ –  ไง สงสัยอะไรอีก เอ้า

โยม –  หลวงพ่อจะให้ธรรมะขั้นเด็ดขาด ที่ว่าจะให้มันหลุดเร็วๆ  เพราะว่ามันเบื่อ จิตมันทั้งวันเลย 24 ชั่วโมง  จิตมันนี่นะ วิ่งเข้าวิ่งออกวุ่นวายที่สุดเลย  เห็นมันจน... ก็เห็นมันอยู่อย่างนี้มาตลอด สมัยก่อนที่ไม่รู้จักดูมันก็บ้าไปตามมัน พอรู้จักดูมันก็เห็นมันเป็นอย่างนี้ มันไม่เคยหยุดนิ่ง

พระอาจารย์ –  อือๆ

โยม –  ไม่ว่าดีมาก ร้ายมาก หรือธรรมดาไปอย่างนี้  มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่  ก็เห็นมันอยู่อย่างนี้ไปตลอด แล้วจะเห็นมันไปอีกเท่าไหร่คะ ...จนเราตาย

พระอาจารย์ –  จนตายเลย ...คือมันเป็นธรรมดา  ต้องเข้าใจ...มันเป็นธรรมดานะ  มันไม่ใช่ว่าเป็นอาการที่ผิดปกติอะไร

โยม –  ไม่ใช่ว่าพอเรา...เออ จิตเราปฏิบัติมานาน ได้ดีขึ้นมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มี

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่

โยม –  มันก็ยังมีอยู่หรือคะ

พระอาจารย์ –  ใช่ ... แต่ว่ามันจะเป็นลักษณะที่ว่า...มันมีแต่สักแต่ว่ามีของมัน  มันมีแล้วมันไม่มีความหมายน่ะ ...เหมือนกับนี่ ธรรมชาติรอบตัวโยมนี่ มันมีอย่างนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ 

แต่ว่าโยมเห็นมั้ย ...โยมมีปัญหากับต้นไม้ต้นไร่อะไรมั้ย


โยม –  ทุกวันนี้ไม่มี ...เมื่อก่อนมี มีไปหม๊ดเลย เพราะจิตมันปรุงแต่ง เพราะมันไม่รู้ค่ะ 

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะ ถ้าโยมไปมีปัญหากับมัน มันก็จะมีปัญหากับเรา ... แต่ถ้าโยมไม่มีปัญหานี่ มันก็มีของมันเท่าที่มันมี เท่าที่มันเป็น ไม่ต้องไปวิตกวิจารณ์กับมัน    

โยม –   ค่ะ 

พระอาจารย์ – เพียงแต่ว่าการดูนี่ ดูเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้เราเข้าไปร่วมกับมัน หรือว่าหลงไปกับอาการต่างๆ แค่นั้นเอง นะ ...ไปเป็นจริงเป็นจัง    


โยม –  คือจิตมันพอมันนานๆ เข้า พอมันรู้ว่า เราให้มันดูแบบธรรมดานี่นานๆ เข้า มันกลายเป็นว่ามันรู้เห็นเป็นธรรมดาแล้ว มันก็รู้เห็นเป็นธรรมดามาตลอด อย่างนี้แล้ว มันต้องมีอะไร ...มันไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ ทุกเรื่องทุกอย่าง มันบรรจบลงที่ธรรมดาๆ ของมัน แค่นั้นน่ะ 

พระอาจารย์ –  อือฮึ  

โยม –  แล้วมันก็หายไปๆ หายไปจากความรู้สึกอย่างนี้ฮ่ะ แล้วรู้สึกว่าจิตใจมันเปลี่ยนเป็นเบิกบาน แบบไม่มีอะไรให้ทุกข์ ทุกข์อยู่ไม่นาน ทุกข์เกิดขึ้น แต่มันไม่นาน  พอมันรู้แล้วมันก็หายๆๆๆ ไม่ว่าทุกข์นั้นจะมากหรือน้อย แล้วรู้แล้วมันก็หายไป

พระอาจารย์ –  อือ    

โยม –   ทำไมมันเป็นอย่างนั้นคะ  

พระอาจารย์ –  อ้าว มันไม่เป็นยังไง เขาเรียกว่า...มันเป็นเช่นนั้นเองน่ะแหละ  

โยม –  มันเป็นเช่นนั้นเองเลย  

พระอาจารย์ –  เออ ไม่ต้องไปสงสัย  

โยม –  ไม่มีอะไรทำให้มันทุกข์นานเหมือนเมื่อก่อน เป็นปีเป็นชาติอะไรอย่างนี้  

พระอาจารย์ –  เพราะว่าแต่ก่อน ที่มันนาน เพราะว่าเราไปมีไปเป็นด้วย ไปสร้างเหตุปัจจัยร่วมด้วย 

แต่ถ้าเราแค่รู้เฉยๆ นี่ คือเราไม่มีการเข้าไปประกอบกระทำ คือมันหยุด ...หยุดอะไร  หยุดการสร้างมโนกรรม หยุดการที่ว่าไปร่วมด้วยหรือให้ความเห็นร่วมหรือว่าไปต่อต้าน หรือว่าไปดึง หรือว่าไปรักษา อย่างนี้ 

มันหยุดการกระทำในจิต เข้าใจมั้ย  เมื่อหยุดการกระทำนี่ มันก็จะผ่าน...มีแต่ผ่านกับผ่าน นะ   


โยม –  ค่ะ ก็ผ่านไปๆ เกิดขึ้น รู้ว่ามันชอบมันอะไร แล้วก็รู้มันนะ มันจะเกิดขึ้นของมันเองๆ รู้ทันมันตลอด แล้วมันก็หายไป 

พระอาจารย์ –   อือๆ ก็แค่นั้นแหละ ...แล้วจะเอาอะไร  

โยม – แล้วจะเป็นอย่างนี้ไปจนตาย    

พระอาจารย์ –  จนตาย ...แค่นั้นแหละ ขอให้มันได้จริงๆ เถอะ เข้าใจมั้ย 

โยม –  ฮ่ะ มันเกิดขึ้น เราไม่ได้ตั้งใจจะไปคิดอะไรมัน เดี๋ยวนี้มันเป็นของมันเอง มันอยู่ข้างใน มันทิ้งของมันเอง มันรู้ของมันเอง

พระอาจารย์ –  อือฮึ เพราะนั้นจริงๆ แล้วเพียงแค่รู้เฉยๆ      

โยม –  อ๋อ สุขทุกข์ก็ไม่นาน อะไรก็ไม่นาน 

พระอาจารย์ – ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันแค่ชั่วคราว      


โยม –  บางทีสงสัยว่าเรานี่ เอ๊ เป็นคนขี้ลืมรึไง เรื่องอะไรๆ มันก็ผ่านไปๆ แปลกจริงๆ  แต่ถ้าถามว่าเราเป็นคนขี้ลืมเพราะเราแก่หรือเปล่านี่ ก็บางทีมันก็ไม่ได้ลืมในเรื่องที่เป็นประโยชน์ แต่บางเรื่องนี่มันเกิดขึ้นมันก็ไปๆ แต่ไม่ไปแบบลืมสนิทหรือขี้ลืม

พระอาจารย์ –  มันลืมเพราะอะไร... มันลืมเพราะเราไม่จำ เข้าใจรึเปล่า  

โยม –  ฮ่ะ อาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่ใส่ใจ 

พระอาจารย์ –  เออ เพราะเราไม่ตั้งใจจะไปจำมัน เข้าใจมั้ย ...ไอ้ที่แต่ก่อนน่ะ เราใส่ใจกับความจำ มันจึงจำได้ ...แต่พอเรารู้แล้วผ่าน เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมาก นี่ มันจะไม่ตั้งใจจำ 

เมื่อไม่ตั้งใจจำนี่ สัญญามันไม่ค่อยมีหรอก มันจะไม่ค่อยมี   


โยม –  ก็ว่าเราไม่ได้เป็นคนปัญญาเสื่อมอะไรเนาะ   

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่ ... โอ้ย เรานี่ยิ่งกว่านี้อีก จำอะไรไม่ได้เลย ชื่อคนยังจำไม่ได้  บางทีเห็นหน้านี่... มากราบเรา นั่งฟังนี่ คุยกันบอกมากราบอาจารย์  เราก็ "อือๆ"  แต่ไม่รู้หรอกว่าใคร ...จนจะกลับถึง "อ๋อ จำได้แล้ว" อย่างนี้

คือเราไม่ได้ไปตั้งอกตั้งใจจะจำ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปจำ 


โยม –  ไม่ต้องไปจำอะไรมัน ...แต่จะว่ามันลืมเหมือนคนปัญญาเสื่อมก็ไม่ใช่  

พระอาจารย์ –  มันไม่ลืมหรอก มันไม่หายไปไหนหรอก อย่าไปกังวลๆ 

โยม –  สาธุ จะได้ว่าตัวเองไม่ได้ปัญญาเสื่อมเพราะแก่ มันลืมไปเอง ...แล้วจิตใจก็เป็นสุ้ขเป็นสุข ถึงทุกข์มากระทบ แป๊บเดียวก็หายไปๆ แค่รู้ทันมันว่าเออ เป็นสุข แล้วมันก็หายไปๆ แปลกจริงๆ  

พระอาจารย์ –   ไม่แปลกหรอก  

โยม –  มันไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนอะไรอย่างนี้ค่ะ     

พระอาจารย์ –  อันนี้ปฏิบัติรึเปล่านี่   


โยม –  ปฏิบัติอยู่ค่ะ ปฏิบัติผิดๆ ถูกๆ มาสิบกว่าปีแล้วค่ะ จนเดี๋ยวนี้รู้สึกว่ามันปลอดโปร่งโล่งสบาย พอมารู้ทาง...ก็เลยทิ้งมาปีหนึ่งว่าไม่นั่งสมาธิหลับตาแล้ว 

ก็ดูไป 24 ชั่วโมงถ้าไม่ได้หลับน่ะนะคะ ก็ดูไปว่าเออ อันนี้นะ อันนั้นนะ ตอนนั้นใหม่ๆ นี่ตั้งใจเลยว่าฉันจะเดินข้างซ้ายเดินข้างขวาหยิบโน่นหยิบนี่อะไร คิดอย่างนี้ 

พอคิดไปได้สักสามสี่เดือน มันไม่ต้องคิด มันทำเองทุกอย่างของมัน จนเดี๋ยวนี้ไปเลยโดยเป็นอัตโนมัติ  แล้วมันก็แปลกจริงๆ เอ๊ เราเป็นอะไร เราไม่ใช่คนเก่าซะแล้ว มาเป็นคนใหม่ซะแล้วมั้ง เราไม่รู้จักโกรธแค้นอะไร  

พระอาจารย์ –  อายุเท่าไหร่

โยม –  ปีนี้ย่าง 55 ค่ะ ก็มีลูกสาว ลูกสาวก็ชอบปฏิบัติเหมือนกัน ก็โชคดี

พระอาจารย์ –  อย่าไปสงสัย ให้มั่นใจ นะ  อาการทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงเป็นแค่อาการที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไปแค่นั้น  


โยม –  ก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านนอก ก็ไม่ทราบว่าปฏิบัตินี่ จะไปถามใคร ตัวเองเป็นอะไร  แต่ฟังเทปมาตลอด ฟังมันก็ได้ของใหม่อยู่เรื่อยๆ เราก็เข้าใจทุกคำว่าทำไมเหมือนที่เราเป็นอยู่ ...ก็ได้มาเจอพระอาจารย์ นี่เพิ่งจะคุยครั้งแรกเลยว่า เอ เราเป็นอะไรนี่

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไรหรอก คือมันเป็นที่ว่ามันเห็นความเป็นจริงแล้วก็ยอมรับความเป็นจริง แค่นั้นเอง คือมันยอมรับ 


โยม –  มันไม่ทุกข์ไม่สุขกับใครทั้งสิ้น... คือเป็นนะ เขาร้อนก็ร้อนตาม แต่เดี๋ยวมันก็หาย เขายังไม่หาย เราหายไปไหนแล้วไม่รู้ เราจำไม่ได้แล้ว ...แล้วอายุเรามากด้วย เราก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่า เอ๊ หรือว่าปัญญาเสื่อมไปแล้ว   

พระอาจารย์ –  อย่าไปลังเลๆ 

โยม –  มันช่างขี้ลืมเรื่องของคนอื่นๆ ไปหมดอย่างนี้ อะไรผ่านมาก็...รู้แล้วก็ลืมๆ   

พระอาจารย์ –  พยายามอยู่อย่างนี้ เป็นปกติอยู่อย่างนี้ ให้มันเป็นปกติอย่างนี้ 


โยม –  เรายังสติดีอยู่ใช่ไหมฮะ    

พระอาจารย์ –  อือ ให้มันเป็นปกติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นะ ไม่ต้องไปเพิ่มไม่ต้องไปลดอะไร รู้ไปอย่างนี้ๆ 

โยม –  อ๋อ สาธุ    

พระอาจารย์ –  รู้ผ่านๆ ไปอย่างนี้  รู้ไปโง่ๆ อย่างนี้ 

โยม –  ซื่อๆ บื้อๆ อย่างนี้นะฮะ ธรรมชาติ 

พระอาจารย์ –  กึ่งรู้กึ่งไม่รู้อยู่อย่างนี้ไป    

โยม –  ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ มันเหมือนจะรู้แล้วมันก็ไม่รู้ อะไรมันก็ไม่รู้ เราก็เลยปล่อยมันไป

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ อย่าไปสงสัย  ตรงนี้ถึงเรียกว่าเป็นรู้ที่เป็นกลางหรือเป็นธรรมชาติของรู้จริงๆ คือมันจะรู้โดยไม่หมายมั่น 

มันไม่มีความหมายมั่น มันจึงกึ่งรู้กึ่งไม่รู้...แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรือไม่ใช่ว่ารู้ชัด เข้าใจมั้ย    

โยม –  ค่ะ ใช่    

พระอาจารย์ –  อย่างแรกๆ แต่ก่อนโยมน่ะรู้ชัด ใช่ป่าว  เดี๋ยวนี้มันไม่ชัดแล้ว ...มันไม่ชัดเพราะมันวาง มันไม่ให้ค่า เริ่มไม่ให้ค่า มันจึงเป็นกึ่งรู้กึ่งไม่รู้    


โยม –  แล้วเราต้องรู้มันมากมั้ย   

พระอาจารย์ –  อย่าไปถอยหลัง อย่าไปถอยกลับ 

โยม –  มันมีสิทธิ์ถอยกลับหรือคะ  

พระอาจารย์ –  ก็อยู่ที่ความไม่เข้าใจ หรือว่าหลงไปตามความคิดอย่างนี้ ...ถ้าคิดแล้วว่า 'เอ๊ะ เราต้องอย่างนี้รึเปล่า' แล้วเราตัดสินใจจะทำตามความคิด มันก็ทำอย่างนั้นขึ้นมา 

แต่ถ้าเรารู้ ...'เอ๊ะ เราต้องรู้ชัด รู้มากกว่านี้รึเปล่า' ...พอรู้ว่าคิดแล้วก็ปล่อยความคิดนั้น แล้วก็รู้เหมือนเดิมน่ะแหละ เข้าใจมั้ย ... คืออย่าไปตามความคิดแค่นั้นเอง ให้ทันๆ

 ธรรมดา มันก็แค่นั้นแหละ ไม่ได้รู้ชัดเห็นชัดอะไร  เพราะว่ามันมีอาการทั้งรู้และเห็นพร้อมกัน นะ ไม่ใช่แค่รู้อย่างเดียว

ไม่ต้องไปเพิ่ม...แล้วก็ไม่ต้องไปลด  แต่ว่าให้มันคงที่หรือว่าให้มันเป็นปกติของมันอย่างนี้ กว้างๆ อย่างนี้ ...ให้มันรู้กว้างๆ อย่างนี้ 

รู้ผ่านไป ไม่ได้เจาะจงอะไรชัดเจนตรงไหน รู้แบบกวาดๆ สบายๆ ...มันจะพัฒนาของมันไปเรื่อยๆ  


โยม –  อ๋อ มันจะพัฒนาได้อยู่หรือคะ ถ้าเรารู้เราก็เห็นทุกอย่าง วางเฉยๆ แค่นี้  

พระอาจารย์ –  แค่นั้นแหละ  

โยม –  มันจะพัฒนาไปเอง   

พระอาจารย์ –  มันกำลังอยู่ในองค์ของการดำเนินของมัน ...ให้มองเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปบอกว่าได้อะไรหรือไม่ได้อะไร 

การปฏิบัติไม่ใช่ว่าได้อะไรหรือไม่ได้อะไร ...แค่เห็นตามความเป็นจริง รู้ว่ามันเป็นอาการอย่างนี้อยู่ แค่นั้นพอแล้ว

แล้วก็ทิ้งให้หมดๆ ไม่เอาอะไร ...นิพพานก็ไม่เอา มรรคผลก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา ...เอาแค่เดี๋ยวนี้  เป็นอย่างนี้ก็รู้อย่างนี้ อยู่แค่นี้พอแล้ว 

ให้กลับมาอยู่กับความจริงเดี๋ยวนี้ แล้วก็วางมัน ผ่านไปๆๆ ...ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องสงสัยว่าจะได้อะไร จะใช่หรือไม่ใช่


โยม –  มันก็มีแว้บๆ มันนิสัยไม่ดี  

พระอาจารย์ –  ก็ให้รู้ว่ามันมี แล้วก็ผ่านไป อย่าไปจับมาเป็นเรื่อง ...มันต้องมีอยู่แล้ว บอกให้เลย มันมีเป็นธรรมดา ความคิด ความใคร่ในธรรม

เคยได้ยินคำนี้มั้ยว่า...ใคร่ในธรรมที่สูงกว่านี้  พูดง่ายๆ คือตัณหานั่นแหละหรือโลภะ ...แต่ว่ามันจะมาในอาการนิดๆ แค่นั้นเอง  ถ้าเราไม่ใส่ใจ มันก็ผ่านไป 

แต่มันจะมีขึ้นอยู่ตลอด เป็นธรรมดาๆ อันนี้ปกติ ... มันจะอยู่ในฐานของความเป็นปกติ ...รู้จักคำว่าปกติมั้ย ปกติ...ตอนนี้ที่เป็นปกติอยู่อย่างนี้ ไม่ได้มีการประกอบกระทำตรงไหน หรือระวัง 

มีการระวังมั้ย ควบคุมมั้ย    


โยม –  ไม่น่ะค่ะ   

พระอาจารย์ –  เออ เป็นธรรมดาใช่มั้ย   

โยม –  เป็นธรรมดา   

พระอาจารย์ –  เออ นี่แหละคือความปกติ เป็นปกติ  

โยม –  มันเป็นพลังแปลก มันบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนที่ตอนก่อนนี้ ตัวเองเป็นคนอาชีพทำงานทั้งหลายที่ไม่เคยเข้ามาสิ่งเหล่านี้น่ะ อันนั้นมีแต่ความปรุงแต่ง  เดี๋ยวนี้ปล่อยไปธรรมดาๆ มันก็อยู่อย่างเป็นสุข    

พระอาจารย์ –  มันไม่เรียกว่าสุขหรอก เขาเรียกว่าเป็นความสันติ นะ มันจะไม่เรียกว่าเป็นสุขโดยตรง   

โยม –  จริงค่ะ จริง ไม่เป็นสุขโดยตรง เพราะตอนอยู่แบบทุกข์ๆ มันก็ยังอยู่อย่างเป็นสุข คือมันก็สุขอยู่แบบไม่มีปัญหา   

พระอาจารย์ –  มันเป็นความสันติ ความเยือกเย็น ความอ่อนโยน    

โยม –  มันเป็นธรรมชาติ    

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ธรรมชาติ ที่มันเป็นธรรมดา ...แล้วก็รับได้กับทุกเรื่อง

โยม –  จริงค่ะ  

พระอาจารย์ –   มีปัญหากับอะไรมั้ย มีปัญหากับลูกสาวมั้ย  

โยม –  ไม่มีปัญหากับเขา เขามีปัญหากับเรา แต่เราก็รู้แล้วก็ให้โอกาสเขา เราให้เวลาเขา   

พระอาจารย์ –  อย่างนั้นน่ะ ...ไม่มีปัญหากับอะไร พยายามอยู่ในความเป็นปกติ    


โยม –   การมีปัญหานี่เกิดขึ้นได้ มาเป็นของแว้บๆ น่ะ มันแว้บมาแล้วก็ไปๆ แล้วเรามารู้ทัน ... ถามว่าไม่มีอะไรเลยเหรอ มีทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป แต่มันไม่เกาะเราแล้ว

พระอาจารย์ –  มันน่ะไม่เกาะเราอยู่แล้ว 

โยม – (หัวเราะ)  เราไปเกาะมัน

พระอาจารย์ – เออ เขาเป็นธรรมดา ขันธ์ก็มีเป็นปกตินะ

โยม –  อ๋อ เข้าใจค่ะ   

พระอาจารย์ –   รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีครบ...ไม่ว่าจะเป็นปุถุชนยันพระอรหันต์ ก็ยังมีความคิด ก็ยังมีเวทนา ก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก ...ก็ยังมี  

โยม –  แต่มันแผ่วเบาบาง   

พระอาจารย์ –  ก็มี แต่เป็นแบบแค่ว่ามีน่ะ มีแต่ว่า...สักแต่ว่า ... เคยได้ยินคำว่าสักแต่ว่ามั้ย 

โยม –   สักแต่ว่าเท่านั้น 

พระอาจารย์ –  จิตก็สักแต่ว่าจิต อารมณ์ก็สักแต่ว่าอารมณ์ เป็นธรรมดาของมัน ...มันจะมาก็ไม่ได้เชื้อเชิญมัน มันจะตั้งอยู่ก็ไม่ได้เรียกร้องให้มันตั้ง มันจะดับก็ไม่ได้บอกว่าให้ดับ ...นี่คืออาการ

เห็นความเป็นอิสระของเขามั้ย เห็นการเป็นอิสระของการที่จะเกิดขึ้น เห็นความเป็นอิสระของการที่มันจะตั้งอยู่ เห็นความเป็นอิสระของการที่มันจะดับไป โดยที่เราไม่เข้าไปข้องเกี่ยวเลย 

เราก็รู้ด้วยใจที่เป็นอิสระ เขาก็แสดงอาการด้วยความเป็นอิสระของอาการ ตามเหตุและปัจจัย ...มีตายังไงก็ต้องเห็นรูป มีหูยังไงก็ต้องฟังเสียง ได้ยินเสียง 

เมื่อได้ยินเสียงแล้ว มันไม่มีใครหรอกที่ไม่รู้สึก มันไม่ใช่ก้อนหิน มันไม่ใช่ก้อนดิน  มันมีจิตใจ มันมีความรู้สึก...มันต้องมีพอใจ-ไม่พอใจ ...เป็นธรรมดา นะ

แต่ว่ามันมีเกิดขึ้นพอให้รับรู้ แล้วก็...แค่นั้นเอง  ไม่จับมาประเด็นหรือว่าจับมาเป็นเงื่อนไข หรือไปมีปัญหาหรือไม่มีปัญหากับมัน 

เขาก็มีพอให้เป็นเครื่องหมายหรือว่าเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่ามีอาการนี้นะ ...เห็นอะไรก็ยังสวยได้ เห็นอะไรก็ยังไม่สวยได้ เป็นธรรมดา ...แต่ว่าไม่ไปทุกข์ไปร้อนกับความสวย-ไม่สวยนั้น

เห็นความดีของลูกก็ได้ เห็นความไม่ดีของลูกก็ได้ แต่ว่าไม่ได้ไปทุกข์ไปร้อนกับเขาจนเกินเหตุ ...คือต่างคนต่างเป็นอิสระ เข้าใจมั้ย

แต่ว่าความผูกพันเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นอารมณ์ที่ประณีต ...มันยังมีที่เรายังไม่เห็น 

มันจะค่อยๆ เห็นไปเรื่อยๆ ที่มันยังแฝงอยู่ มันจะละเอียดต่อไปเรื่อย...จนถึงเราเห็นแค่มันเป็นยองใยน่ะ เหมือนกับใยแมงมุม มันจะเบาบางขั้นใยแมงมุมเลยน่ะ 

ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าความที่ยังมีอารมณ์ หรือว่าความมีอุปาทานในอารมณ์ที่ว่าเบาบาง  มันมีอยู่...แต่เรายังไม่เห็น 

แต่ว่าอยู่ในอาการนี้ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ  จนหมดเยื่อใย...ถึงจะขาดจากภพและชาติโดยสิ้นเชิง


ขณะนี้เราก็เรียกว่าวางได้ในระดับนึง ...แต่ว่ายังไม่ขาดโดยสิ้นเชิง


(ต่อแทร็ก 11/3 ช่วง 2)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น