วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 1/17 (4)


พระอาจารย์
1/17 (25530403A)
4 เมษายน 25553
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 1/17  ช่วง 3

พระอาจารย์ –  แต่ตอนนี้พวกเรายังแยกแยะไม่ออก ยังไม่แจ้ง เข้าใจไหม ...ยังไม่แจ้งเท่านั้นเอง 

แล้วมันจะต้องเรียนรู้อย่างนี้ ...ถ้าไม่แจ้งก็ทุกข์ ทุกข์กับมัน และทุกข์เท่านั้นแหละมันจะสอนเรา สอนซ้ำซากอยู่อย่างนั้นน่ะ โง่อีกทุกข์อีกๆ ด้วยความไม่รู้อีก ทุกข์อีก

ทุกข์สอน ทุกข์น่ะเป็นตัวบีบคั้น ทุกข์เป็นตัวกำหนดให้เกิดปัญญา ...อย่าหนีทุกข์  ไม่รู้อะไร ดูเข้าไป ดูเข้าไปเถอะ เราไม่รู้ ...แต่จิตมันค่อยเรียนรู้ของมันเอง 

จิตเขาเรียนรู้ของเขาอยู่...ด้วยความไม่รู้นั่นแหละ มันเรียนรู้กับความไม่รู้นั่นแหละ เข้าใจมั้ย ...และมันจะเรียนมาถึงตัวของอาสวะ ...จนกว่ามันจะแจ้งน่ะ

ไม่ใช่สุกเอาเผากิน ไม่ใช่ใจร้อน เอาเร็ว เอาแบบเจโตวิมุต เอาแบบเป็นฉากๆ เฉาะขาดกระเด็นไป เห็นโลกนี่ดับก็ดับทั้งโลกธาตุ ขาดออกกระเด็นหลุดจากใจไปเลยอย่างนั้น 

ฟังแล้วอัศจรรย์ เห็นมั้ย แค่พูดนี่ อย่างพวกเราอ่านตำรามานี่ก็รู้สึก แหม มันอัศจรรย์จริงๆ

แต่ว่าปัญญาวิมุตินี่ ซื่อบื้อ ไม่รู้อะไรหรอก ไปอย่างโง่ๆ ...ชื่อบอกว่าปัญญาวิมุติ ฟังดูดี ฟังดูฉลาดเฉลียวมีปัญญาสูงส่งด้วยปัญญา แต่โดยความเป็นจริงแล้วโง่ที่สุด

เพราะมันไม่รู้อะไรเลย ไม่ให้จิตไปหมายมั่นอะไรเลย ไม่ให้จิตไปให้ค่าอะไรเลย ไม่ให้จิตไปมีความเห็นอะไรเลย ...เอาความเห็นตามความเป็นจริงในขณะแรกเท่านั้น


โยม –  แล้วปลายทางที่ได้เหมือนกันไหมคะ

พระอาจารย์ –  เหมือนกัน ไปสู่ความไม่มีอะไร สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไร ...แต่ไปเห็นความเป็นจริงว่าทุกอย่างน่ะมันไม่มีอะไร

จิตแรก...อย่างเช่นที่โยมเดินไปเดินมา เดินไปอย่างนี้แล้วมีผู้ชายเดินมาปั๊บ หันหน้าไปมอง ปั๊บ...ความรู้สึกแรก จิตแรก นั่นน่ะของจริง เข้าใจไหม 

จะชอบ จะรังเกียจ จะหงุดหงิด จะปลื้มหรือไม่ปลื้ม ขณะนั้นน่ะเป็นอัตตาที่แท้จริงของจิต ...นั่นน่ะจิตแรก เรียนรู้กับจิตแรก


โยม –  ปั๊บแรกนี่เหรอคะ ด้วยสติใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  เออ ให้เห็นทันตรงนั้น จากนั้นไป...โกหกหมด 

มันจริงแค่ตรงนั้นแหละ อารมณ์แรกนั่นแหละ ตรงนั้นแหละ ...ถ้าหลุดจากนั้น ขณะนั้นไปแล้วนะ เป็นเรื่องของความปรุงแต่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิหมด


โยม –  ถ้าไม่มีสติกำกับอยู่

พระอาจารย์ –  ใช่ ถ้าไม่รู้ว่ามีความปรุงแต่งต่อ พวกนี้หลุดหมด


โยม –  แต่ถ้ามีสติก็คือ เห็นมันปั๊บ แล้วก็ดับ แล้วอันใหม่ออกมา

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไร ...ถ้ายังเห็นอยู่นะ ถือว่ามันเป็นความปรุงแต่ง แต่เป็นความปรุงแต่งที่เรารู้เห็นอยู่  แรกๆ อาจจะมีอารมณ์ขึ้นลงตามมันบ้างด้วยความไม่แจ้ง  

แต่เมื่อรู้ไปชัด รู้ไปบ่อยๆ กับจิตแรกเรื่อยๆ นี่ อาการตามหลังมาทั้งหมดนี่ ถึงจะมีต่อมานี่ ถือได้ว่า “สักแต่ว่า” เข้าใจมั้ย  เคยได้ยินมั้ย จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม เวทนาสักแต่เวทนา กายสักแต่กาย 

แต่ตอนนี้พวกเราไม่สามารถ “สักแต่ว่า” ได้ เพราะเราไม่ทันตั้งแต่จิตแรก เรามาทันสองสามสี่ เข้าใจมั้ย ...กว่าจะรู้ กว่าจะรู้ว่ามีอารมณ์นี่ มันมีมาแล้ว มันเลยแรกมาแล้ว

เพราะนั้นน่ะ ระหว่างที่เรารู้อารมณ์นี่ เป็นเรื่องของความปรุงตลอด รู้ความปรุงตลอดนะ ...เป็นความไม่จริงตลอด จึงไม่ต้องให้ความสำคัญเลย เข้าใจรึยัง 

ไม่ต้องไปหารายละเอียดกับมันเลย ไม่ต้องไปแยกแยะว่ามันคืออะไรมาจากไหนเลย ...ก็อย่างที่เขาว่า “เงาของจิต” น่ะ ไม่ต้องไปตะครุบเงาเลย ...มันสำคัญตอนขณะแรกที่รู้ตรงนั้น


โยม –  เรารู้ตามหลังมันใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ทุกอย่างน่ะ ...สติมันต้องเกิดทีหลังอยู่แล้ว สติไม่รู้ก่อนนะ


โยม –  ไม่สามารถเกิด ปุ๊บ ทันทีใช่ไหมคะ คือ มันมองห่างๆ

พระอาจารย์ –  เกิดปุ๊บทันที มันก็ต้องเกิดทีหลังอยู่แล้ว มันต้องเห็นทีหลัง


โยม –  รู้ทีหลัง

พระอาจารย์ –  เออ มันต้องรู้ทีหลัง แต่มันรู้ในขณะเดียวกันนั่นแหละ


โยม –  ติดๆ กัน

พระอาจารย์ –  ได้ ...ตรงนั้นน่ะ ตรงจิตแรก ที่รับรู้ทางอายตนะนี่ และรู้ทัน เห็นทันจิตแรกที่รับรู้ทางอายตนะ นี่ อายตนะมี ๖ ใช่ไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะแรกที่เกิด ตรงนั้นน่ะถึงจะเรียกว่ามหาสติ


โยม –  แล้วรู้ว่า...ให้รู้อะไรคะ รู้ว่ามันเกิดยังไงคะ

พระอาจารย์ –  เออ ให้เห็นมันน่ะว่ามีอาการอย่างนี้ ...เหมือนอย่างนั่งอย่างนี้ โยมอยู่เป็นปกติ แล้วมีอะไรผ่านมานี่ แล้วจิตมันแวบไป ...นี่แหละคือจิตแรกที่เกิด 

ตรงนี้ให้เห็นทัน ...ถ้าเห็นทันตรงนี้ ปึ้บน่ะ มันจะดับในตัวของมันเลย


โยม –  เหมือนนั่งดูทีวี เราก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั่ง แล้วก็เห็นว่าตัวเองนั่งแล้วก็หายไป อย่างนี้ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  จริงๆ มันก็ใช่ เพราะว่าจักขุวิญญาณ หรือว่าอายตนะ จักขุนี่ ดับ แล้วมารู้ที่กายวิญญาณ อย่างนี้ถือว่ากลับมาขณะแรก ครั้งแรก แล้วจิตรู้ ก็เรียกได้

แต่ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่ามันยังไม่เรียกว่าเป็นมหาสติ เพราะอะไร เพราะมันยังมีการตั้งใจ...ตั้งใจรู้


โยม –  ตั้งใจเหลียวกลับมาดู

พระอาจารย์ –  แต่ถ้าเป็นมหาสติจริงๆ นี่


โยม –  บังเอิญ...มันรู้ด้วยความบังเอิญ

พระอาจารย์ –  พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่อง “บังเอิญ” เลย


โยม –  คือมันรู้ด้วย...ที่บอกว่าไม่ใช่ตั้งใจจ้องให้มันเห็นน่ะค่ะ มันปั๊บกลับมาได้ๆ

พระอาจารย์ –  มันรู้โดยไม่มีเจตนา ... นี่ ใช้ภาษาให้ถูก ...ไม่มีคำว่าบังเอิญ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าบังเอิญ มีแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ด้วยเหตุปัจจัย

ไม่มีคำว่า “บังเอิญ” ไม่มีโชค ไม่มีดวง ไม่มีเคราะห์ อันนี้เป็นเรื่องฮินดู เป็นเรื่องของที่เราถูกปลูกฝังมาแล้วมาซึมอยู่ในศาสนาพุทธ “ช่างบังเอิญเหลือเกิน โชคดีเหลือเกินที่มาเจอเรา”

ไม่มีคำว่า “โชคดี” ไม่มีคำว่า “บังเอิญ” นะ ...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วนๆ  

อย่าอ้าง อย่าเหมาแบบโง่ ด้วยความไม่รู้แล้วก็ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” อะไรประมาณนี้  เหมาเอาหมดว่าเป็นความ “โชคดีจังเลย” พูดจนติดปาก “ดวงดี บังเอิญจริงๆ ได้เจอเธอนี่ แหม ไม่ได้คาดฝัน”

ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยของเขาอยู่แล้ว ไม่มีอะไรลอยๆ มาหรอกเคยได้ยินธรรมะที่ว่า “อิทัปปัจจยตา” ไหม รู้จักไหม

ทุกสิ่งทุกอย่าง...สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้จึงเกิด สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้ก็เกิดมากขึ้น สิ่งนี้มากขึ้น...สิ่งนี้ก็เกิดมากขึ้น สิ่งนี้น้อยเกิดน้อย...สิ่งนี้ก็เกิดน้อยตามไป

นี่คือหลักของอิทัปปัจจยตา ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้น ...ไม่ใช่เพราะใคร ไม่ใช่เพราะอะไร มันเป็นไปตามสิ่งที่เกิดต่อเนื่องเป็นปัจจยาการ

เรายอมรับ หรือว่าเห็นความต่อเนื่องของมันอย่างนี้ ...การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ของมันเอง โดยที่ไม่ได้มีใครจัดการ ไม่มีพระเจ้ามาจัดการ เราไม่ได้ไปจัดการกับมัน มันก็ดำเนินของมันไป

เนี่ย มันจะเป็นไปตามอิทัปปัจจยตา หรือปัจจยาการของมัน ...แล้วก็จะเห็นปัจจยาการสายเกิด แล้วก็ปัจจยาการสายดับ สิ่งนี้ดับ...สิ่งนี้จึงดับ...สิ่งนี้ก็ดับ

เห็นไหม ไม่มีใครทำให้ดับ แต่ว่าเป็นเหตุปัจจัยมันดับ ตัวเหตุก็ดับ ปัจจัยดับเหตุก็ดับ ปัจจัยน้อยเหตุก็น้อย อย่างนี้


โยม –  ฟังดูคล้ายปฏิจจสมุปบาทนะเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องเนื่องด้วยกัน เป็นเรื่องอยู่ในกฎอิทัปปัจจยตา เมื่อเราเห็นอิทัปปัจจยตาอย่างนี้ เป็นธรรมดา

จนเห็นเป็นธรรมดา ไม่ใช่ประหลาด ไม่ใช่ว่า “เอ๊อะ ไม่น่าเชื่อ ... บังเอิญ” อย่างนี้ เห็นมั้ย อันนี้มันดูเหมือนประหลาด ผิดปกติไป 

แต่เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้ ตรงนี้จึงเรียกว่าเป็น "ตถตา"

ตถาตา คืออะไร ความหมายก็คือว่า...มันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่เป็นอย่างอื่นหรอก มันเป็นของมันอย่างนี้ จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เขาก็จะเป็นอย่างนี้

เราตายไปแล้ว เขาก็ยังเป็นอย่างนี้ โลกก็ยังหมุนอย่างนี้ พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นทางนี้แล้วก็ตกอย่างนี้ ต้นไม้ก็ยังมีแตกใบแล้วก็ร่วงอย่างนี้

เราจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม เขาก็จะเป็นของเขาอย่างนี้ตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำ ...เราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สรรพสิ่ง เป็นอย่างนี้ เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเอง

นี่ถ้าพูดภาษาธรรมะก็ดูลึกซึ้งนะ ตถตา หรือปัจจยาการ แต่ถ้าพูดภาษาคนก็ว่า “มันเป็นธรรมดา” มันไม่ได้ผิด แล้วมันไม่ได้ถูก ...แต่มันเป็นความจริงที่ปรากฏขึ้น ในตัวของเขาเอง

เห็นไหม เห็นความเป็นอิสรภาพไหม เห็นความเป็นอิสระซึ่งกันและกันในการเกิด ในการตั้งอยู่ ในการดับไป เราไม่เกี่ยวเลยนะ ...เราไม่เกี่ยว

แม้แต่ว่าเราจะอยู่กับกาย กายเขาก็เป็นอิสระของเขา ในการที่เขาจะแก่ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือร้อน หรือหนาว เราจะไม่สามารถไปควบคุมบังคับได้เลย

เมื่อมีปัจจัยอย่างนี้ ลมพัดมาก็เย็น ปิดพัดลมก็ร้อน ...เห็นมั้ย อันนี้เนื่องด้วยปัจจัย ไม่ได้เนื่องด้วยความอยาก 

แต่เรามักจะเข้าใจ...ด้วยความไม่รู้ เราก็ทำไปตามความอยาก แล้วสามารถทำได้ เลยเข้าใจว่า...เราทำได้ เข้าใจมั้ย


โยม –  คอนโทรลได้

พระอาจารย์ –  เออ มันเข้าใจว่าเราสามารถควบคุมตัวตนได้ สร้างตัวตนขึ้นมาได้ เราเป็นเจ้าของตัวตนได้ เราเป็นเจ้าของสภาวะได้

นี่เขาเรียกว่าเห็นสภาวะเป็นตัวเป็นตน เห็นกายเป็นตัวเป็นตน เห็นเวทนาเป็นตัวเป็นตน เกิดขึ้นเพราะเรา ทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้ หรืออาสวะผลักดันให้เกิดตัณหาและอุปาทาน เกิดความหมายมั่น คิดเอาเอง

เราถึงบอกบ่อยๆ อย่างบางคนหงุดหงิดว่า เล่ามาซะอย่างดิบดี เราบอกว่าคิดไปเองรึเปล่า มั่วรึเปล่า บางทีเครียดเลยนะ หาว่ามั่ว ...บอกให้เลยว่ามั่ว จิตมันมั่ว

เพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระปรุงแต่ง อะไรก็ไม่รู้ ปรุงแต่งซะดิบดีน่าเชื่อถือ พูดจนคนฟังน้ำลายไหลล้นห้อง ก็ยังพูด โห พูดได้น่าเลื่อมใสมาก แต่มันออกมาจากความปรุงแต่งล้วนๆ ไร้สาระ

สาระมันมีแค่ขณิกะ เข้าใจรึยัง ที่ถามว่า ขณิกะแค่นี้พอไหม เข้าใจรึยัง ...

ตาเห็นรูปขณะแรก นั่นแหละของจริง เป็นปัจจุบันธรรมและเป็นปัจจุบันจิต...เป็นภพที่แท้จริง เป็นวิบากที่แท้จริง เป็นขันธ์ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นชั่วคราว...พั้บ นี่


(ต่อแทร็ก 1/18)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น