วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 1/22 (1)


พระอาจารย์
1/22 (25530415B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2553
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  มันจะเห็น...ความหมายของคำว่าตัวตนจะเริ่มลดน้อยลง ทอนลง มันจะเห็นว่าชีวิตมันเป็นแค่ขณะ เนื้อตัวเรานี่มันเป็นแค่ขณะหนึ่งๆ

ชั่วคราว...มันเป็นของชั่วคราว ชั่วขณะที่มีเหตุปัจจัยภายนอกมากระทบกับขันธ์ มากระทบกับอายตนะ ...ขันธ์นี่คือรับรู้เป็นครั้งคราวๆ ไป

ตรงนี้...ที่มันจะเข้าไปทำลายตัวความหมายของคำว่าสักกาย เข้าไปทำลายความหมายของสีลัพตปรามาส เข้าไปทำลายความลังเลสงสัย เข้าไปถอดถอนความเป็นเรา ความเห็นว่าเป็นเรา 

แต่จริงๆ น่ะไม่ได้หมายความว่า มันละความเป็นเรา ...แต่มันเข้าไปเห็น เข้าไปเข้าใจความหมายของที่ว่า “เรา” นี่่...จริงๆ คืออะไร 

และก็ไม่ไปให้ค่า หรือให้ความเห็นว่า “เรา” นี่ มันเป็นจุด เป็นชิ้น เป็นอัน เป็นตัว เป็นตน เป็นตัวเราเที่ยง หรือตัวเราถาวรมั่นคง

แต่มันเห็นความเป็นจริงของ "เรา" นี่...มันเกิดแค่พึ่บนึงๆ รับรู้ครั้งนึงๆ เท่านั้น  มันไม่มีความต่อเนื่อง ...เพราะนั้นความเป็นตัวตนของตัวเรานี่...ไม่มี 

มันจะต่างกับตัวเราเดี๋ยวนี้ที่มันมี “เรา” ตลอดกาล ความเป็น “เรา” มันถาวร ความเป็นเราเป็นของเที่ยงนี่ ...เพราะนั้นจะต้องอาศัยการรู้และก็เห็นรอบ...รู้และก็เห็นรอบ เห็นทั่วๆ 

เห็นทั่ว คือมันจะเห็นอาการที่โลดแล่นไปของจิตที่ไปเกิดตามอายตนะทั้ง ๖  คือไปเกิดในรูปของวิญญาณ...กายวิญญาณ จักขุวิญญาณ โสตะวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ มโนวิญญาณ

เพราะนั้นในการที่มีสติรู้เห็นนี่ พูดง่าย ๆ มันก็คือการพิจารณา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แล้วก็อายตนะ ๖ โดยไม่ได้อาศัยความคิดมาพิจารณาอะไรเลย

แต่เอาสติกับสัมปชัญญะนี่แทนความคิด ให้มันไปแนบกับขันธ์ รูปขันธ์นามขันธ์ การเกิดขึ้นของรูปขันธ์นามขันธ์แต่ละครั้งแต่ละคราว แค่นี้ 

เรียกว่าสร้างความรู้ความเห็นตามความเป็นจริงของอุปาทานขันธ์ หรือว่าขันธ์ทั้ง ๕  อายตนะ ๖  ผัสสะ ๖  ใจ ๑ 

สุดท้ายแล้วมันก็จะเห็น...ขันธ์อันหนึ่ง...ใจอันหนึ่ง  ผัสสะอันหนึ่ง...ใจอันหนึ่ง  อารมณ์อันหนึ่ง...ใจอันหนึ่ง ...นี่ ใจเป็นหลัก 

ใจ...คือรู้นั่นแหละ มันจะแยกออก แล้วมันจะเห็นว่ามันเป็น “รู้” ... “รู้” นี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ “รู้”

มันจะค่อยๆ คลายความหมาย ความเข้าไปเห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นจริงเป็นจัง เป็นการต่อเนื่อง ...เพราะนั้นแรกๆ มันจะเห็นแบบเรื่องราวไม่ปะติดปะต่อ

แล้วเรื่องของความเชื่อความเห็นน่ะ ถ้ายังมีความเห็นเมื่อไหร่...ผิดหมด บอกให้เลย แม้แต่นักปฏิบัตินี่ ในความเชื่อความเห็นทั้งหลายทั้งปวงนี่  ถ้ายังมีความเชื่อความเห็นใดๆ ...ตัวนั้นแหละเป็นมิจฉาหมด
 
สุดท้ายแล้วมันไม่เหลือหรอก ...ไม่มี  ความเชื่อก็ไม่เหลือ ความเห็นก็ไม่มี ... มีแต่ใจที่รู้เฉยๆ เปล่าๆ ...เหลือแต่ใจเปล่าๆ เท่านั้นน่ะ

มันจะละถอดถอนความคิดความเห็นทั้งหลายทั้งปวงออกหมดสิ้น  ไม่มีถูก ไม่มีผิด  ไม่มีจริง ไม่มีไม่จริง ...มีแค่รู้แล้วก็ปล่อย รู้แล้วก็ผ่าน

จะไม่มีความเชื่อหรือความเห็นใดต่อจากนี้ไปเลย จะมีแค่รู้อย่างเดียวแล้วก็ปล่อย แค่นั้นเอง ...เป็นรู้จริงเห็นจริง ว่าไม่มีอะไร แล้วไม่มีอะไร

เพราะนั้นมันจะทิ้ง ละความเชื่อความเห็นทั้งหลายทั้งปวงจนหมดสิ้น เข้าไปล้างที่ฐานอาสวะ เข้าไปล้างภวาสวะ กามาสวะ เข้าไปล้างอวิชชาสวะ หมด

เพราะนั้นถ้ายังเถียงกัน ถ้ายังเอาถูกเอาผิดมาทะเลาะกัน...เรื่องปฏิบัติต้องอย่างนั้น ปฏิบัติต้องอย่างนี้ ...เสียเวลา อย่าไปทะเลาะ รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็ปล่อย 

ความเชื่อความเห็น ไม่มีถูกไม่มีผิดหรอก เป็นแค่อาการนึงที่ปรากฏเท่านั้นเอง ไปเชื่ออะไรมัน ...เหมือนแมวจับหนู แค่รู้เฉยๆ ปล่อยเลย ไม่ต้องเอาถูกเอาผิดอะไร แค่นั้นแหละ สบาย

อย่าไปแบก อย่าไปเก็บมาเป็นภาระ ...ขันธ์ ๕ ท่านบอกแล้วว่าเป็นของหนัก ตามธรรมชาติมันก็หนักอยู่แล้ว จะไปเก็บมาเพิ่มทำไม จะไปหามาเพิ่มทำไม 

ความรู้ความเห็นต่างๆ ความเข้าใจถูกเข้าใจผิดอะไรก็ตาม เป็นของใหม่ที่เอาเข้ามาใส่ในระบบความจำ พอเข้ามาเก็บใส่ในระบบความจำนี้แล้วเอามาสร้างเป็นสัญญาอุปาทาน ...มันหนัก

ทำยังไงก็ได้ให้มันวาง ให้มันเบา ให้มันปล่อย ให้มันคลาย  ...ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปซีเรียส ไม่ต้องไปจับ ไปแสวงหาถูก แสวงหาผิดอะไร 

แสวงหาความจริงในปัจจุบัน รู้แล้วก็วาง ๆ เห็นอะไรก็วาง แค่รู้ ...สุดท้ายแล้ว มันเหลือแค่รู้ แค่นั้นเอง 

นี่ เบา สบาย ...ไปไหนก็ได้ ใครพูดอะไรก็ได้ ใครมีความเห็นอย่างไรก็ได้ ...เราไม่ใส่ใจ เราไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ เราไม่เก็บมาเป็นธุระ 

เราไม่หาสิ่งที่ไม่เป็นสาระมาเป็นสาระ ไม่หาสิ่งที่เขาว่าถูกเขาว่าผิดมาเป็นเรื่องเป็นราว แค่นี้ ...ใครจะบอกว่าไม่ได้อะไร ไปไม่ถึง ไปไม่ได้ แค่รู้แล้วก็ปล่อย ไม่ต้องคิดมากเลย แค่นี้เอง

หลักของพระพุทธเจ้า ความหมายของพระพุทธเจ้า หรือความเห็นที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าคือ...ให้วางทุกสิ่งทุกอย่าง 

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นท่านเรียกว่าสังขาร มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่สิ่งที่มีสาระอะไร มีความเสื่อม มีความดับ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา

แม้แต่ธรรม “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ”  แม้แต่ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่อะไรของใคร ไม่มีถูก ไม่ได้เรียกว่าผิด ..ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นอนัตตา

แค่นี้ใจเราจะปลดเปลื้องจากพันธนาการ...ของบัญญัติ ของสมมุติ ของความหมาย ของคุณค่า ของค่านิยม ของความเห็นทั้งโลก ของความเห็นของสัตว์โลก...ในความที่เขาคิดเอา เชื่อเอาเอง พูดกันไปเอง

นี่ เหมือนกับน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว ใบบัวจะเขย่าก็เขย่าไป น้ำก็กลิ้งไป แต่น้ำกับบัวนี่ไม่แปดเปื้อนปนกัน ...เม็ดน้ำก็ยังเป็นเม็ด แต่ไม่ซึมอาบหรือว่าซึมซาบอยู่กับบัวที่มันกลิ้งไปกลิ้งมา

พอหยุดกลิ้งปั๊บ บัวก็บัว น้ำก็น้ำ แยกกันไปโดยสิ้นเชิง ...ใจเหมือนกัน...เรียกว่าหมดจด เป็นใจที่หมดจด ไม่ข้องกับค่านิยม บัญญัติ สมมุติ ภาษา ความเห็น 

ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของความคิดความเห็น...ทั้งในแง่ของโลก หรือของธรรม ...มันเป็นเรื่องที่เกิดจากความปรุงแต่งทั้งสิ้น

แม้แต่ธรรมเดี๋ยวนี้ก็เป็น ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วมันจะไม่เกิดจากความปรุงแต่ง ...ธรรมก็ยังมี...ทั้งที่พูดๆ กันนี่ ก็สังขารธรรมทั้งนั้นแหละ 

มันก็ว่ากันไป เถียงกันมา ตอบโต้กัน อ้างคำนู้น อ้างอาจารย์นี้  อ้างกันไป เดือดร้อนกันไป ...คนฟังก็เดือดร้อน คนพูดก็เร่าร้อน ...มันไม่จบ

อะไรหรือการกระทำใดๆ ที่ไม่จบ หรือว่าหาที่จบไม่ได้นี่ ให้รู้ไว้เลยว่า อย่าทำ อย่าไปเล่นตาม อย่าไปปรุงต่อ ...กลับมาจบให้ได้เดี๋ยวนี้ วาง รู้ หยุดแล้วก็กลับมาอยู่ที่รู้ รู้กายรู้ใจในปัจจุบัน จบได้หมด

ไม่ออกไป ไม่เชื่อ ไม่ไหล ไม่ตาม ไม่ปรุงต่อ ไม่หาเหตุหาผล ...โง่เข้าไว้ กลับมาโง่อยู่กับกายกับใจนั่นแหละ เท่าที่มีเท่าที่เป็น ...พอแล้ว แค่นี้พอแล้ว  

ถ้ามากกว่านี้ล่ะ...เกินแล้ว  ออกกว่านี้นิดนึง...แค่กระเบียดนึง แค่อณูเดียว...นี่ก็เรียกว่าเกินแล้ว หลุดแล้ว เรียกว่าส่งออกแล้ว ไม่มีสาระแล้ว 

กลับมาทำสาระที่รู้ในปัจจุบัน เห็นในปัจจุบัน แค่นี้ ...นิพพานก็อยู่แค่ตรงนี้แหละ 

อยู่เนืองๆ อยู่เป็นนิจ ...ความแจ้ง ความเท่าทัน ความหมดจด ก็จะเกิดขึ้นโดยที่ว่าไม่ได้ไปทำอะไรให้มันเกิดขึ้นมาเลย ไม่ได้ทำอะไรขึ้นมาใหม่

ปัญหาหลักของนักภาวนาทุกคน...หลงบ่อย หายประจำ แค่นั้นเอง ทุกคน ...วิธีแก้ไม่มีอะไร ...ขยัน ใส่ใจมากๆ เท่านั้นเอง ไม่เห็นจะมีวิธีอื่น หรืออุบายอะไรเลย

มันอยู่ที่ความใส่ใจ ตั้งใจ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ทอดธุระ ...จนมันเป็นนิสัยน่ะ ซ้ำซากจนเกิดเป็นนิสัย เป็นความเคยชิน...มีอะไรปั๊บ...รู้ปุ๊บ มีอะไรปั๊บ...รู้ หลงปั๊บ...รู้ปุ๊บ 

ให้มันเห็น...มีความพึงพอใจ มีความยินดี ในการที่รู้ตัวอยู่ เห็นตัวอยู่อย่างนี้ ...มันจะเกิดความยินดีพอใจ ในการกลับมาเรียนรู้ตัวเองบ่อยๆ 


โยม –  โยมก็ไม่รู้จะถามยังไงน่ะเจ้าค่ะ แต่ว่านิวรณ์นี่

พระอาจารย์ –  นิวรณ์ คือกิเลสที่มากางกั้นจิตไม่ให้เกิดสมาธิ การที่จิตเราไม่ตั้งมั่น ...สมาธิในความหมายของเราคือความไม่ตั้งมั่นของจิต 

ถ้ามันก็เกิดจากความเบลอ ซึม นี่ก็คือถีนมิทธะ  ที่นั่งแล้วมันหาย เพลินไป นี่ก็เป็นกามราคะ ก็คืออย่างนี้ หรือเวลาหงุดหงิดไปตามอารมณ์ต่างๆ นี่พยาบาท ปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน ตัวนี้

แล้วเราก็ไปอยู่กับความฟุ้งซ่านในชีวิตประจำวันของเรานี่ เข้าใจมั้ย คิดไปในอดีต-อนาคต ...พวกนี้คืออารมณ์ของนิวรณ์ มีประจำอยู่แล้ว ...ในชีวิตประจำวันของเรานี่มันอยู่กับนิวรณ์อยู่แล้ว

เพราะนั้น ถ้าเราเอาสติมาตั้งรู้อยู่ที่กาย เห็นกาย รู้กายเห็นกายอยู่ตรงนี้ มันก็ทำลายตัวนิวรณ์อยู่แล้ว ...เพราะมันรู้อยู่ มันไม่ไปไหนน่ะ เห็นอยู่เนืองๆ มันก็เกิดสมาธิอยู่ในชีวิตประจำวัน

เพราะนั้นมันจะพูดกันคนละแง่ ถ้าเป็นนิวรณ์อย่างนี้ที่นั่งหลับตา มันก็จะเป็นชิ้นเป็นอันเป็นตัวเป็นตน ว่าความคิดหรืออะไรอย่างนี้ๆ เวลานั่งสมาธิอย่างนี้ก็กลายเป็นนิวรณ์ ๕ ง่วงนอน อย่างนี้ๆ

แต่นิวรณ์๕  ในชีวิตประจำวันมันก็คือ เผลอ หลง หาย ...พวกนี้เป็นอารมณ์ที่ทำให้จิตมันหลุด ไม่ตั้งมั่น อะไรก็ตามที่มันทำให้จิตมันลอยไปหายไป


โยม –  นิวรณ์นี่มันก็เป็นรูปย่อหรือรูปขยายของโลภ โกรธ หลง น่ะหรือคะ

พระอาจารย์ –  ถูกต้อง ก็รากเหง้าเดียวกันหมด


โยม –  เรารู้ดูจิตทุกวัน ที่เราทำก็คือ

พระอาจารย์ –  มันชำระนิวรณ์ไปในตัวอยู่แล้ว คือชำระ ทำให้จิตตั้งมั่นอยู่กับกายหรืออยู่กับใจ อยู่กับอาการทางจิต ...มันรู้ชัด เห็นชัด มันก็ไม่เกิดนิวรณ์

คราวนี้พอมันเกิดตอนไหนเราก็จะรู้ทัน เห็นว่า...อ้อ หลุดไปเพราะอะไร หายไปเพราะอะไรอย่างนี้ ...มันก็จะเห็นเท่าทันอาการของจิตที่ไหลไปด้วยอะไรเป็นตัวเร้า และหลงไปตามอารมณ์ หลงไปกับตัวไหน

เวลาพูดอย่างนี้ แล้วไปเทียบกับตามตำราแล้ว มันจะดูเหมือนคนละเรื่องกัน ...ซึ่งหมายความว่าในการปฏิบัติของเรานี่ ลักษณะของเราจะเน้นเห็นสภาวธรรมจริงตามปกติ

มันจะไม่เหมือนกับที่เขาอธิบาย...แบบว่าที่เขาปฏิบัติในรูปแบบนี่ เขาจะแยกแยะออกมาเป็นอย่างนี้เรียกว่าอย่างนี้  

แต่ถ้าในลักษณะที่เราให้ดู รู้กายเห็นจิตอยู่อย่างนี้ ...ไม่ต้องไปใส่ใจเลยในเรื่องของความหมายพวกนี้ ไม่ต้องไปเนมมิ่ง (ให้ชื่อ) อะไรกับมัน หรือว่าจะละจะเลิกอะไรกับมัน อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมาก 

เพราะงั้นก็จะไปเหมือนกับที่เราอธิบายไป ...เดี๋ยวจะเหมือนกับหนูออกมาจากรูแล้วนี่ แทนที่มันจะแค่เห็นว่าหนูออก แล้วก็ช่างมัน ปล่อย มันจะไปไหนก็ไป

แต่เรากลับไปให้ความสำคัญว่า...เอ๊อะ มันคืออะไร  ...นี่ แค่หันไปมองนี่...ก็หลุดแล้วนะ ส่งออกไปด้วยเจตนาแล้ว ...ถ้ายิ่งตามติดออกไปนี่ มันจะตามไป

หรือว่า...เอ๊อะ มันไม่ดีแล้ว ...นี่ พอไม่ดีแล้ว...ก็ฆ่าล่ะ ตัด ทำความดับกับมันแล้ว ...หรืออันไหนดี...เอ้า เลี้ยงไว้ ทำความพิจารณากับมันต่อ...อย่างนี้ มันส่งออก มันไม่เฝ้าอยู่ที่รูแล้ว


โยม –  อ๋อ  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น แค่รู้ ขณะเดียวแล้วทิ้งเลย เข้าใจมั้ย รู้แล้ววาง ...เข้าใจคำว่าวางมั้ย 

มันจะไปไหนก็ช่างมัน จะมากขึ้นก็ช่างมัน จะน้อยก็ช่างมัน เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา ...หน้าที่ของเราคือรู้ว่ามันมีอย่างนี้ เออ แค่นี้พอแล้ว อยู่ตรงนี้แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปใส่ใจ ...รู้แล้ววาง

แต่ถ้ามันยังใส่ใจนี่ ก็ให้เรารู้ทัน หรือไม่ก็เบี่ยงเบนซะ ให้มารู้ที่อื่น เบี่ยงเบน ตั้งสติใหม่ให้เกิดความตั้งมั่น ...ถ้าออกไปอย่างนี้แปลว่ามันส่ายแส่ ไหลไปตามอารมณ์ ตามอาการไป

แต่ถ้าตั้งมั่นรู้เฉยๆ นี่ มันจะไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน  มันก็เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้กับรู้ มันจะแยกชัดออกด้วยการที่รู้...รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็อยู่ที่รู้ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ถูกรู้ 

แต่ถ้าตามไปเมื่อไหร่นี่ ไอ้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้นี่มันจะเข้าไปรวมกัน ...ตอนนี้เขาเรียกว่าไหล รู้แล้วไหล รู้แล้วไป ไม่ใช่รู้อยู่ รู้ไป รู้แล้วตามออกไป ออกไปรู้ไม่ใช่รู้อยู่ ...ถ้ารู้อยู่นี่มันจะต้องรู้ และสิ่งที่ถูกรู้ แค่นั้น


มันจะแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะทำความชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำความแจ้ง เข้าใจว่า...อ้อ ต้องอย่างนี้ ต้องรู้อย่างนี้ มันถึงจะผ่าน มันจะรู้เหมือนไม่รู้น่ะ มันจะไม่รู้ก็เหมือนรู้


(ต่อแทร็ก 1/22  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น