วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 1/22 (2)


พระอาจารย์
1/22 (25530415B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 เมษายน 2553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 1/22  ช่วง 1

โยม –  เพราะว่าช่วงทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เจ้าค่ะ ก็คือมีทุกอย่างที่เป็นตัวนิวรณ์ แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นนิวรณ์ ก็เลย...ทำไมเรารู้สึกหลายอย่างในห้าตัวนิวรณ์นี่อยู่ตลอดเวลา

พระอาจารย์ –  นิวรณ์ทั้งห้า...มันมีอยู่ในชีวิตประจำวันนั่นแหละ 

มันเป็นตัวกางกั้นจิต กางกั้นความที่ว่ารู้ชัด รู้ในลักษณะ...รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ชัดเจน คือสมาธิ ...มันทำให้ไม่เกิดความเห็นชัดเจนหรือว่าตั้งมั่น มันจะเกิดอาการคลุมเครือ


โยม –  เราจะไม่มีการกำหนดว่าเราควรทำอะไรให้มันมีสติบ่อยขึ้น ไม่มีเลยใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  อือ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตั้งได้เมื่อไหร่ก็ตั้งเมื่อนั้น ...กายก็มีอยู่แล้วใจก็มีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาอะไรขึ้นมาใหม่

เหมือนโยมเมื่อกี้ที่ถามว่าไปทำแบบนั่งยกมือน่ะ ซึ่งเราไม่ค่อยแนะนำอ่ะนะ เพราะว่านั่นมันเป็นอุบายน่ะ ...ไม่งั้นเดี๋ยวก็สติเกิดไม่ได้...ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นน่ะ

เพราะว่าสุดท้ายแล้วนี่ แม้แต่จิตยังไม่มีการกระทำเลยน่ะ ไม่มีการกระทำแม้แต่นิดเดียวเลย ...จะปล่อยให้เป็นอิสระล้วนๆ ไม่มีกั๊กเลย 

มันถึงจะหลุดหมด ถึงจะหมด ออกหมดน่ะ อัตตาที่แท้จริงน่ะ ถึงจะออกหมดเลย ...จะไม่มีเกร็ง ไม่มีกั๊กไว้ ไม่มีแอบ ไม่มีกลัวว่าอย่างนั้น กลัวว่าอย่างนี้ 

มันปล่อย...แล้วไม่แตะต้องเลย ...แต่ว่าตัวสติสัมปชัญญะมันจะแน่วแน่มาก แน่วแน่ มั่นคง ...ไม่ถอย แล้วก็ไม่กลัว 

คือปฏิบัติไปช่วงๆ นึงน่ะ จะไปเจอความกลัว ...กลัวจิตเสีย กลัวรับไม่ได้ กลัวมันตก กลัวอะไรหลายๆ อย่างที่มันจะเป็นตัวขวางสภาวะ กลัวเขาว่า กลัวไม่ไปถึงไหน


โยม –  จะว่าไปความกลัว ความกังวล มันมีอยู่เรื่อยๆ นะครับ  แต่ว่าสภาวะที่พระอาจารย์บอกว่าจะไปเจอนี่มันจะชัดเลยหรือครับว่ามันจะกลัว

พระอาจารย์ –  มันจะไม่กล้าทิ้งน่ะ นี่ มันคนละเรื่องกัน

กลัวว่าถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ได้ กลัวอีกหลายอย่าง กลัวที่จะต้องรักษามันอยู่ กลัวที่จะทิ้งมัน ... มันไม่เข้าใจว่านิพพานจริงๆ คืออะไร แล้วมันก็เลยไม่กล้าที่จะทิ้ง หรือว่าไม่กล้าที่จะปล่อย 

ดูไปเรื่อยๆ เหอะ มันจะอ่านจนทะลุน่ะ ...ซึ่งขณะนี้มันก็ยังมองไม่ออกถึงไอ้ที่มันยังซ่อนอยู่ ยังมีอะไรที่เรายังไม่เห็นอีกเยอะ ที่เราจะต้องเรียนรู้ต่อไป

มันจะต้องดูไปเรื่อยๆ จนพอมันแจ้งนี่ก็ปรุโปร่งหมดแหละ ไม่ว่ามันจะออกมารูปแบบไหน แง่มุมไหน ที่จะได้หลอกล่อเรา สังขารจิตหรือตัวมายาจิตนี่ มันมีสาไถยของมันอยู่ มีเล่ห์ของการปรุงแต่งของมัน 

เราจะต้องเรียนรู้ให้ฉลาดเท่าทันมันไปเรื่อยๆ แล้วพอเห็นจนมันปรุโปร่งแล้ว มันจะหลอกเราไม่ได้ ...ถ้าหลอกเราไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว มันจะหยุดการกระทำหมด 

หยุด...ในที่นี้หมายความว่าหยุดด้วยปัญญานะ ไม่ใช่หยุดด้วยการห้ามนะ ...มันหยุดโดยมันไม่เอาแล้วน่ะ ไม่ว่านิดนึง ขยับนึง ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้นะ ได้-ไม่ได้  เสียนะ-ดีนะ แย่นะ อะไรอย่างนี้ 

มันจะไม่ฟังเลย มันจะทิ้งหมดเลย แล้วอยู่ในเฉพาะรู้ของมันโดดๆ รู้เฉยๆ ไม่หวั่นไหว ...ตรงนั้นถึงเรียกว่าเป็นจิตหนึ่ง...จิตเอก...เอโก ธัมโม  เอกัง จิตตัง ไม่ส่ายแส่แล้ว จิตจะไม่หวั่นไหว 

ซึ่งไม่ได้เกิดจากการที่ควบคุมหรือบังคับ แต่มันจะไม่หวั่นไหวด้วยปัญญา ...คือมันแนบแน่น หรือว่าเข้าใจ หรือว่าแจ้ง หรือว่าไม่เชื่อความปรุงแต่งอีกแล้ว

แต่ลักษณะของจิตที่ยังไปๆ มาๆ นี่ มันจะเชื่อตามความปรุงแต่ง ...คือมันยังมีความเห็นที่น่าเชื่อถือ ที่จิตมันยังเชื่อของมันอยู่ อย่างนั้นน่ะ  

มันยังโง่ที่ไปเชื่ออารมณ์ ไปเชื่อความรู้สึก ไปเชื่อเวทนา ไปเชื่อว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้  มันยังมีความเชื่ออยู่ ...ก็เรียนรู้กับมัน บอกแล้วไง จิตมันคุ้นเคยในการเชื่ออย่างนั้นเชื่ออย่างนี้ 

มันรับไม่ได้ไง มันกลัวที่จะรับกับเวทนาที่คนเขาสร้างเวทนาให้เราไม่ได้ เราไปสร้างภาพหรือว่าสร้างภพขึ้นมา ไปสร้างภพแห่งความกลัวขึ้นมา แล้วมันกลัวที่จะไปเสวยในภพนั้น

ทุกอย่าง...ไม่ใช่ว่าสิ่งที่มาขัดขวาง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นปัจจัยที่มาสงเคราะห์จิตทั้งหมดนะ ทุกอย่างน่ะ...ไม่ได้ขัดขวาง ไม่ได้ปิดบัง หรือว่าไม่ได้มาถ่วงหน่วงเหนี่ยวรั้งอะไรเลย 

แต่ว่าทุกอย่างเป็นปัจจัยให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ภายในของเรา แล้วก็ศึกษากับมัน ...ถ้าไม่มีผัสสะ ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอก เราจะไม่เห็นปัจจัยภายในจิตเลยว่ามีอะไรเคลือบแฝงอยู่ในจิต แล้วจะเอาออกไปได้ยังไง 

ถ้าจะแยกเอาความโกรธออกจากใจ มันต้องมีสิ่งที่ทำให้เราโกรธก่อน จึงจะเกิดอาการของมันออกมา ที่มันเจือปนอยู่ในใจน่ะ มันก็จะแสดงอาการออกมา ออกมารับกับอารมณ์นั้น ออกมามีเป็นกับอารมณ์นั้น

ถ้ารู้ทันนี่ก็หมายความว่ามันเริ่มเคลียร์แล้ว แต่ละครั้งที่รู้เท่าทันและก็เห็นมัน อย่างนี้ถือว่าเคลียร์แล้วในครั้งนึงๆ ถือว่าเริ่มแจ้ง เริ่มเบาบาง เริ่มทำความเจือปนนั้นออกไป 

แต่ถ้าไม่รู้แล้วเกิดหรือว่าตั้งใจจะเก็บมัน สร้างอารมณ์นี้ขึ้นมา นี่คือการเก็บเข้ามาหมักหมมอีกแล้ว ...หรือว่าไปตำหนิ ไปแก้ไม่ให้มันเกิด อย่างนี้ก็ไปดัก ไปเก็บ ...มันก็ตกคลั่กอยู่ข้างในนั่นแหละ

ค่อยๆ เรียนรู้ไป ชีวิตจริงก็เหมือนกับตัวละคร มันก็เหมือนกันกับละครโทรทัศน์เลย ละครเรื่องหนึ่งที่เราพบเห็นอยู่นี่ ก็คือภาพที่เราเห็นคนนั้นคนนี้ทำอะไรกัน 

ก็เหมือนกับเราดูละครที่เขาเล่นกันในโทรทัศน์นั่นแหละ และเราก็มีอารมณ์ตามนั้น แต่ว่าโทรทัศน์เรายังเห็นชัดใช่มั้ย มันมีจออยู่ ...แต่อย่างนี้นี่คือจอที่เราไม่มีที่ปิดสวิทช์ เข้าใจมั้ย

แต่จริงๆ ก็เรื่องเดียวกัน มันก็เป็นแค่ภาพเคลื่อนไหว ...ที่เรารับรู้อยู่นี่ มันเป็นภาพเคลื่อนไหว หูก็ได้ยินเสียง แต่มันมีกลิ่น มีสัมผัส ดูเหมือนเป็นจริงเป็นจัง 

แต่ว่าจริงๆ ก็คือละครโทรทัศน์พอปิดปุ๊บนี่เราก็ยังรู้ว่ามันจบ อาจจะอินหรือว่ามีอารมณ์ดีใจเสียใจไปสักระยะนึงหลังละครจบ ...แต่ว่าเราก็จะรู้ว่ามันเพียงแค่ละครนะ ไม่ใช่ชีวิตจริง 

นี่มันก็สามารถจะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรกับมัน เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็หายไปแล้ว ...แต่ตอนนี้กับชีวิตจริงนี่มันไม่ยอมว่าเป็นละครอย่างนั้น...มันจริงจัง ยังจริงจังเป็นตัวเป็นตน

แต่จริงๆ นี่คือละครเหมือนกัน คือเป็นภาพชีวิตเหมือนกัน เป็นรูปเป็นเสียง เป็นแค่รูปกับนาม ...มันก็คือแผ่นภาพที่วิ่งอยู่ในจอ เป็นตัวละครเหมือนกัน


โยม –  หลวงพ่อทำไมถึงมีความเชื่อในสังสารวัฏว่าไม่มีอะไรเป็นสาระ แล้วก็ตั้งใจภาวนาอย่างนี้คะ

พระอาจารย์ –  เอ้า มันต้องมีศรัทธาอยู่แล้ว มีความเชื่อในพระพุทธเจ้าติดมา แล้วก็ได้อ่านมา ได้ฟัง ศึกษาธรรมะมา แล้วมีศรัทธามีความเชื่อ ...จริงๆ มันสั่งสมนะ


โยม –  เป็นยังไงหรือเจ้าคะ ศรัทธานี่

พระอาจารย์ –  หลายอย่าง อย่างเรานี่ ตอนสิบกว่าขวบเรามองคน เราสลดสังเวชน่ะ มันเป็นอย่างนี้ เข้าใจมั้ย 

มันรู้สึกสลดสังเวชว่า เดินกันไปเดินกันมานี่มันตายหมดเลยนะนี่ แล้วมาเดินอะไรกันวะ ...มันเกิดเป็นความรู้สึกสลดขึ้นมาเองอย่างนี้ เพราะงี้มันก็ถือว่าเป็นศรัทธาเกิดขึ้นในที่มันมีมา แล้วมันก็ใส่ใจ

การนั่งสมาธิภาวนานี่เรานั่งมาตั้งแต่สิบขวบแล้ว ตั้งแต่เด็กแล้ว พิจารณาร่างกายเป็นอสุภะ เราทำมาแต่ก่อนแต่เด็กแล้ว มันเป็นนิสัยๆ ผูกพัน มันนั่งได้

ศรัทธาที่มันจะมากขึ้นที่สุดก็คือ...ศรัทธาที่เกิดจากการปฏิบัติน่ะ เห็นจากการปฏิบัติ เห็นจิตตามความเป็นจริง ...มันเถียงไม่ได้เลย มันเห็นอยู่กับตาสัมผัสได้ที่ใจ มันจะเถียงไม่ได้เลย ไม่มีข้ออ้างเลย 

เพราะนั้นมันจะเชื่อมั่นๆๆๆ หรือว่าสัมมาทิฏฐิมากขึ้นๆ ...นี่ ศรัทธาที่จะเกิดได้แท้จริงน่ะ ต้องเป็นศรัทธาที่เกิดจากปัญญา คือเห็นตามความเป็นจริง แล้วมันจะเข้าใจ เชื่อเองน่ะ 

มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชื่ออะไร แต่มันเชื่อว่านี่ จริงหมดน่ะ ที่เราเห็น แค่นั้นน่ะพอแล้ว ...อาจจะไม่ได้ต้องเชื่อตามตำรา หรือว่าต้องเห็นการเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่เราไม่เคยเห็น

นี่ อย่างกฎแห่งกรรม เราไม่รู้เลยนะ ว่ากฎแห่งกรรมคืออะไร จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ...ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเชื่ออย่างนั้นก่อน แต่ให้เห็นตามที่เราเห็นอย่างนี้ มันจะสร้างศรัทธาในการปฏิบัติมากขึ้นเอง

ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำจิตให้มีศรัทธาในทาน ต้องทำบุญ ต้องเชื่อ ต้องยอมรับว่าตายแล้วเกิดนะ หรือว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วก่อนนะ ต้องมีความเชื่อมั่นถือมั่นเห็นอย่างนั้นก่อนถึงจะปฏิบัติได้ผล...ไม่ใช่

นั่งอยู่ไม่มีอะไร...เห็นว่ากายนั่งอยู่นี่ แค่นี้ก็พอแล้ว ...ไม่เห็นต้องเชื่ออะไรเลย ให้มันเห็นตามความเป็นจริงแค่นี้ แล้วมันจะมีความเชื่อในตัวของมันเองแหละว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่แค่นี้ 

มันเอาอยู่แค่นี้ เห็นตามความเป็นจริงอยู่แค่นี้ ...นอกนั้นความเชื่ออื่นๆ นอกนี้ไป มันเป็นความเชื่อรอง ไม่ต้องให้ความสำคัญกับมันมากก็ได้ เอาแค่ที่เห็นในปัจจุบันเป็นหลัก แล้วก็เห็นความจริงถึงที่สุด

เพราะว่าความจริงถึงที่สุด...ที่สุดของความจริงก็คือมันดับไป มันเปลี่ยน มันไม่คงที่ แค่นั้นเอง ตรงนี้ถือว่าเป็นศรัทธาสูงสุด หรือว่าสัมมาทิฏฐิสูงสุด...ที่เป็นสมุจเฉทที่จะละคลายความลังเลสงสัยได้โดยสิ้นเชิง

จะรู้อะไรก็ตาม อยากรู้อะไรก็ตาม หรือไม่อยากรู้อะไรก็ตาม ไม่สำคัญเท่ากับว่าต้องรู้และเชื่อในความจริงที่ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างนี่ เกิดแล้วดับเอง 

นี่คือความเชื่อที่สูงสุด แล้วก็ที่สุดแห่งความเชื่อ หรือว่าที่สุดแห่งสัมมาทิฏฐิ ...ความเชื่ออื่น รู้ก็ตามไม่รู้ก็ตามไม่สำคัญ ...เพราะความจริงมีอยู่แค่นี้ ในสังสารวัฏนี่ 

ใครว่าจริง อันนั้นจริง อันนี้ใช่ ...ยังไม่จริงเท่าความจริงสูงสุด นี่คือสัจจะสูงสุด ...ถ้าต่ำกว่านั้นลงมานี่ ใครก็พูดได้ จะตั้งลัทธิไหนก็ได้ทั้งนั้น 

จะเอาลัทธิไหนล่ะ...ตายแล้วสูญ ตายแล้วว่าง เอาลัทธิไหนล่ะ ตายแล้วไม่มีชาตินี้ชาติหน้า ...มันเป็นความเชื่อทั้งนั้น แต่ไม่จริงถึงที่สุดของความจริง ...มันจึงไม่สำคัญ

เพราะนั้นถ้ายังไปให้ความสำคัญกับความเชื่อเหล่านั้น ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะหลุดออกไปในภพนั้นๆ ...แต่ถ้าเชื่อตรงนี้แล้วจบ...จบในการที่มันไม่มีการเกิดใหม่ จบในการที่ว่าไม่มีการมาดับใหม่ มันไม่มีภพใหม่ 

มันจะจบได้ ถ้าความเห็นสูงสุดถูกชำระได้...ด้วยปัญญาที่เข้าไปเห็นถึงที่สุดแห่งทุกข์ คืออาสวะขยญาณนี่ จบเลย...จบในตัวของมันเองได้เลย

อย่างอื่น...รู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ไม่สนใจแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญอะไรกับมันอีกแล้ว ...จะเห็นว่าหมดแล้ว 

เมื่ออาสวขยญาณเกิด หรือว่าเห็นถึงที่สุดแห่งทุกข์ๆ จนไม่มีแล้วที่ใจมันจะอะไร จะเป็นทุกข์กับอะไรหรือให้ค่ากับทุกข์ หรือว่าต้องอะไร หรือไม่ต้องอะไร

ตรงนั้นน่ะ จิตมันจะบอกขึ้นมาเลยว่า งานที่พึงกระทำ...หมดแล้ว ไม่มีงานให้ทำอีกแล้ว ...มันจะไปรู้ด้วยตัวเองเลย หมดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่มีความสำคัญอื่นที่จะต้องทำอีกแล้ว

จะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม อาจจะโง่ที่สุดเลยก็ได้ อาจจะไม่รู้ศาสตร์ไหนเลยก็ได้ อาจจะไม่รู้คำสอนอื่นใดที่พระพุทธเจ้าพูดมามากมายมหาศาลก็ได้

แต่ว่ารู้เลยว่าไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีกแล้ว ภารกิจสิ้นแล้ว พรหมจรรย์นี่จบแล้ว คือที่สุดแห่งทุกข์ ...นั่นคือเห็นแค่นี้...เกิดเอง ดับเองทุกสรรพสิ่ง ไม่มีข้อแม้ ไม่มียกเว้น

เพราะงั้นถึงบอกว่า ถ้างงสับสนจับอะไรไม่ถูก...โยนลงไตรลักษณ์ให้หมด แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรเหนือไตรลักษณ์หรอก

ใครว่าดี ใครว่าต้องทำอย่างนั้นได้อย่างนี้ก่อน ใครว่าต้องเห็นอย่างนี้ก่อน ...โยนลงไตรลักษณ์ให้หมด สุดท้ายมันก็ดับไปหมดแหละ

ไม่เหลือหรอก ไม่มีอะไรสภาวะไหนคงอยู่หรอก ไม่มีความเห็นไหนคงอยู่หรอก ไม่มีความเชื่อไหนที่จะคงอยู่หรอก ...สุดท้ายมันจะดับหมดแหละ

เพราะนั้น อย่าไปผูกพันกับอะไร อย่าไปให้ค่าอะไร ...ไอ้ที่ให้ค่าไปแล้วก็พยายามรู้ แล้วก็ทำให้มันน้อยลง...ด้วยการวางไปเรื่อยๆ


.................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น