วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 1/25 (2)


พระอาจารย์
1/25 (25530427A)
27 เมษายน 2553
(ช่วง 2)



(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 1/25  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นเริ่มต้นของการปฏิบัติ มันจะค่อยๆ ฝ่ามารภายนอก คือรูปขันธ์ภายนอก ...คือเริ่มไม่ให้ความสำคัญกับรูปขันธ์ภายนอกมากขึ้น 

การเกี่ยวข้องผูกพัน การจะเข้าไปผูกสมัครรักใคร่ อยู่ร่วมกัน  หรือทำอะไรที่ว่าให้มีการเป็นหมู่เป็นคณะ  มีเพื่อนเป็นฝูงมากมายก่ายกอง ...มันจะรู้เลยว่ามันมีแต่ทุกข์ มีแต่ปัญหา 

มันจะเห็นปัญหาของการที่รู้จักคนเยอะ ห่วงก็ต้องห่วงเยอะ รู้จักคนน้อย รักคนน้อยหรือคนรักเราน้อย เราก็มีห่วงน้อย ...เหมือนกับเราเลี้ยงหมา เราก็ต้องรักหมาห่วงหมา ถ้าไม่มีหมาเราก็ไม่มีห่วง 

นี่ เริ่มปฏิบัติ มันจะละคลายพวกนี้ออกก่อน ขันธ์ภายนอก ให้ความสำคัญน้อยลง ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างน้อยลง ...แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ความสำคัญ แต่ให้มันน้อยลงก่อน 

แล้วจึงเข้ามาฟันฝ่าขันธ์ภายใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...อันนี้แหละของยาก ...มันมาตายกับความคิดเรานี่แหละ มันมาตายกับความเห็นเราเองนี่แหละส่วนใหญ่ ...ไปไม่รอด 

ปฏิบัติๆ อยู่  เดี๋ยวมีใครมาพูดอย่างนั้น มีใครมาเห็นอย่างนี้ มีใครพูดมานี้ มันคิดๆๆๆๆ ...เพ่งโทษเขาไม่ได้ก็เพ่งโทษตัวเอง แล้วก็จมอยู่กับความคิดแล้วคิดอีก จะหาถูกหาผิดเอาชนะให้ได้ในความคิดนั้น 

หรือจะแก้ให้ได้ด้วยความคิดนั้น มันเข้าใจว่ามันแก้ได้ด้วยความคิด ...นั่นแหละมันเป็นการบูชาเอาความคิดเป็นเทพเจ้า เอาความคิดเป็นที่พึ่ง เอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นที่พึ่ง 

หาอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก ไปอ่านมาอีก จดจำไอ้ที่เราไปเรียนรู้มา ...เพื่อที่จะมาทำให้มันคิดแล้วลงตัว คิดแล้วเห็นทางออก คิดแล้วเห็นแสงสว่าง 

เราบอกว่านักปฏิบัติน่ะ ใช้วิธีนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วนเหมือนกัน ปฏิบัติด้วยความคิดก่อน เอาความคิดเป็นตัวนำ ...สุดท้ายก็ตายกับความคิด แล้วก็ตายไปกับความคิด...ไปไม่รอด

เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปรอด ...ต้องให้ความคิดตาย...ไม่ใช่เราตายกับมัน เข้าใจมั้ย  หรือให้ความคิดพาเราไปตาย ...แต่เราจะต้องให้มันตายจากเรา

คือไม่เชื่อมัน...เดี๋ยวมันก็ตาย ...มันก็อยู่ได้ด้วยเรานั่นแหละ ความคิดน่ะ ...เราให้กำลังเมื่อไหร่ มันก็มีชีวิตยืดยาว เยิ่นเย้อ ต่อเนื่อง ...แล้วก็มีกำลังมากขึ้นๆๆ

ลองสังเกตดู ...เรื่องบางเรื่องนิดเดียว หรือว่ามีการกระทบสัมผัสกันนิดเดียว แล้วเรารู้เราเห็นปุ๊บ ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรแล้ว ...แต่พอเริ่มจดจ่อ หรือว่าตรึกลงไปในอาการนั้น 

เห็นมั้ย มันจะเริ่มคิดแล้ว ขยายความแล้ว เห็นมั้ย ความขยายของมัน มันเริ่มขยายออกๆ ...ตอนนั้นกำลังเพลินเลยนะ กำลังมันเลยนะ กำลังหลงไปในความคิด  

ความคิดก็จะแตกหน่อ จากที่มันเป็นนิดเดียวนี่ ..ความรู้สึกมันก็จะเริ่มมาก เวทนาก็จะมากขึ้นๆ อารมณ์ก็ดูเหมือนจะแรงขึ้นๆ ...สังเกตดูเหอะ มันจะเป็นอย่างนั้น 

ความคิดน่ะมันจะเป็นตัวมาเสริม มาเป็นฟืน ...มาโหมให้ไฟที่มันมีอยู่นิดเดียวนี่ มันกระพือขึ้นมา ...เวลาพอมันกระพือขึ้นมาแล้ว คราวนี้เอาแล้ว ตีโพยตีพายแล้ว ดับไม่ได้ ...เดือดร้อนแล้วๆ 

แล้วไอ้ไฟที่มันกระพือออกมานี่ ตัวเราเองดับไม่ได้...ยังไม่พอ  มันยังพาให้ไปโยนให้คนอื่น ...นี่ คนเข้าใกล้ก็ร้อน คนได้ยินเสียงเราก็ร้อน คนที่ตาเห็นรูปเราก็ร้อน 

เห็นมั้ย กิเลสมันมีอำนาจที่จะสร้างความหมายมั่น สร้างรูปลักษณ์ หรืออัตลักษณ์ของมันออกมา ...อย่าว่าแต่เราทุกข์ คนรอบข้างเราก็ทุกข์ มันเป็นอย่างนั้น

เพราะนั้น ถ้าเข้าใจประเด็น หรือว่าเข้าใจความหมายตั้งแต่ต้นแล้วนี่ ...จริงๆ แล้วมันเริ่มจากไม่มีอะไร ก่อนกระทบก็ไม่มีอะไร ระหว่างกระทบมันก็มีอาการกระทบ 

ถ้าเห็นทันอยู่ตรงนั้น ...มันจะไม่มีการต่อเนื่อง หรือขยายความยาวเหยียด ...เพราะฉะนั้นไอ้ตัวที่จะมาช่วยขยายความยาวเหยียดได้นี่ คือความปรุงแต่ง เข้าใจมั้ย  

ความปรุงแต่ง มันก็คือความคิด หรือว่าสังขาร สังขารจิต...สำคัญ ความปรุงแต่งนี่ ...ต่อไป ฝึกสติไปนี่ เราจะเป็นคนที่คิดสั้น ไม่ใช่นั่งคิดได้ทั้งวัน หรือคิดเรื่องนึงนี่สามปีไม่จบอะไรประมาณนั้น  

มันจะแค่คิดนิดเดียว แล้วบทจะหยุดก็หยุดคิดเอาดื้อๆ  ขี้เกียจคิดแล้วว่ะ วางก็วางตรงนั้น คิดไปเล่นๆ อย่างนั้นเอง ...คือมันไม่สามารถที่จะมาทำให้เราหวั่นไหว เคลิบเคลิ้มไปกับความคิดได้ 

เรียกว่าเกิดความรู้ ฉลาดเท่าทัน...เห็นแล้วว่าความคิดมันเป็นอาการของจิต ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ ..พอมันเห็นอย่างนั้นปุ๊บ มันรีบละเลย ...มึงอย่ามานะ อย่ามามีอิทธิพลเหนือกู...นี่ จิตมันจะฉลาดเท่าทัน 

แต่ถ้าเรายังไม่ฉลาดเท่ามัน เราก็จะบูชามัน บูชาความคิดความเห็นของเรา...ว่ามันต้องอย่างนั้นแน่เลย คิดดีก็มันต้องดีแน่เลย พอคิดชั่วมันก็ต้องชั่วแน่เลย  พอคิดว่าได้ก็ได้แน่เลย พอคิดว่าไม่ได้ก็ไม่ได้แน่เลย 

เห็นมั้ย มันเกิดความหมายมั่น ยึดมั่น จริงจัง ...เห็นความจริงจังตามความคิดนั้น ...ทั้งๆ ที่ว่า..เอ้าคิดเหรอ รู้ว่าคิด ลองจับมาดู ความคิดเป็นยังไง ...จับได้ไหม เอามาดู

ความรู้สึก ความเชื่อ ว่ามันมีอิทธิพล ...จับมาดูซิ จับได้มั้ย จับต้องได้มั้ย มีรูปมีลักษณ์ยังไง จับมาให้ดูซิ  

เห็นมั้ย มันไม่มีอะไรที่เราจับต้องได้เลย ไม่มีตัวไม่มีตนอะไรเลย ...มันเป็นแค่สภาวะ หรือเรียกว่าอาการ หรือเรียกว่าปรากฏการณ์ ...เหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องนี่

มันแค่แสดงสัญลักษณ์ หรือรูปลักษณ์ของการปรุง...ในลักษณะที่แตกต่างกันไป ...ฟ้าแลบก็มีรูปเป็นตัวนำ ฟ้าร้องมีเสียงเป็นตัวนำ  เห็นมั้ย รูปลักษณ์ดูต่างกัน 

นี่คือการปรุงไม่เหมือนกัน ปัจจัยการปรุงไม่เหมือนกัน ...เหมือนกันกับอาการของจิตนี่ มันแล้วแต่ว่าปัจจัยการปรุงมันจะหนักหน่วง...ทางสัญญา หรือเวทนา หรือวิญญาณ หรืออะไรก็ตาม

มันก็มีอาการที่ดูเหมือนแตกต่างกันไปตามรูปลักษณ์นั้นๆ ...แต่มันก็คือปรากฏการณ์หนึ่งของจิตหรือปรากฏการณ์หนึ่งของธรรมชาติ ...มันไม่มีตัวไม่มีตนอะไรแน่นอนหรอก

เข้าใจคำว่าประเดี๋ยวประด๋าวไหม ...มันเป็นอย่างนี้เอง ขันธ์มันเป็นอย่างนี้ ...ขันธ์มันเป็นอย่างนี้เอง 

มันไม่สามารถที่จะมาทำอะไร มันไม่สามารถที่จะมากดทับเราได้ มันไม่สามารถที่จะมาตบตีเราได้ มันไม่สามารถที่จะชัก หรือว่าดึงให้เราไปไหนได้ 

แต่ทำไมเราเดินตามมัน ทำไมเราจะต้องประกอบกระทำผลงานตามมัน ...เห็นมั้ย อันนี้เราต่างหากตกอยู่ใต้อิทธิพลของมัน...ด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริง

เหมือนกับเราเชื่อลมน่ะ ให้ลมมาเป็นผู้สั่งการ หรือให้ความไม่มีไม่เป็นตัวเป็นตน มาเป็นผู้สั่งการเรา ให้เราไปตายก็ไป ให้เราไปทำนั่นทำนี่ก็ไป  ให้เราไม่ทำนั่นทำนี่ก็ไม่ทำ 

เห็นมั้ย ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราเข้าใจ...เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง สภาวธาตุตามความเป็นจริง สภาวจิตตามความเป็นจริง ...แล้วเราจะทำอีกมั้ยนี่  เข้าใจมั้ย

มันไม่ต้องห้ามแล้ว มันไม่ต้องระวังแล้ว มันไม่ต้องกลัวความคิดแล้ว นี่น่ะ ...มันเริ่มจะไม่หลงไปตามอารมณ์ ไม่หลงไปตามสิ่งที่จิตมันปรุงแต่ง 

กว่าเราจะมายืนอยู่ได้ทุกวันนี้ เราทำตามความปรุงแต่งมาตลอด ...จนเกิดความเคยชินและคุ้นเคย นับถือมัน...ตอนแรกก็นับถือเป็นญาติ ...หลังๆ บูชาแล้ว เริ่มบูชาแล้ว  คิดยังไง...ต้องยังงั้นๆ 

อย่างเสื้อแดงเสื้อเหลือง มันก็บูชาความคิดความเห็นกันเป็นหลัก เห็นมั้ย มันไม่ร้อนเฉพาะตัวเจ้าของนะ มันร้อนไปทั้งประเทศไทย ...เพราะแค่เชื่อ "ความเห็นของเรา" นี่แหละ 

แค่เราเชื่อ หรือว่าจริงจังกับความคิดความเห็นของเรานี่ อย่างนี้ ถ้ามันคิดว่าตัวเองจริง ตัวเองใช่ พั้บนี่ มันเบียดเบียนตัวเองโดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นการเบียดเบียนตัวเอง ...เบื้องต้นนี่เรียกว่าเบียดเบียนตนนะนี่  

เมื่อมันเบียดเบียนตน จนมันมีกำลังมากพอแล้ว มันจะมีกำลังมากจนถึงกับแสดงออกมาเป็นคำพูด วาจา ...มันก็สามารถไปเบียดเบียนผู้อื่นได้ด้วยความคิดเห็น ใช่มั้ย

มันก็ไปปรุงเป็นวจีสังขารขึ้นมา ...วจีสังขารก็เลยกลายเป็นผรุสวาท เสียดสี เหน็บแนม ด่าทอ หรือแสดงความเห็นทางวิชาการ เห็นมั้ย มันออกมาได้ทั้งนั้น ...เพื่อให้เกิดความเป็นไปตามที่เราคิด เราเข้าใจ  

แล้วมันปรารถนาจะให้คนเขาสื่อความเห็นเราได้อย่างนั้น...เพื่อหาพวก แล้วก็รวมกลุ่มกันเพื่อให้ได้อำนาจ ...มันเข้าใจว่า ถ้าอย่างนี้แล้วจะได้อำนาจ  แล้วมันจะ serve need  ของตัวเจ้าของได้

นี่มันจึงเกิดความขัดแย้งกันทั่วโลก...เราไม่บอกแค่ประเทศไทยหรอก ...การเกิดของสงครามก็เกิดอย่างนี้ ห้ามไม่ได้เลย แก้ไม่ได้ด้วย ตราบใดที่มนุษย์แก้ไม่ถูกจุด  

ที่พระพุทธเจ้าท่านไม่บอกให้แก้ เพราะว่าแก้ยังไงก็แก้ไม่ตก ...จะสันติยังไง มันก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว มันไม่จบ ...ทำไมล่ะ สงครามมันเกิดไม่รู้จักจบ ...ก็มันแก้ไม่ถูกที่  

มันแค่สงบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวมันก็ไปสร้างสมพลังขึ้นมาใหม่...พลังแห่งมิจฉาทิฏฐิ ความคิดความเห็น ความเอาเปรียบ ความเห็นแก่ตัว ..พวกนี้มันจะก่อให้เกิดการรวมกลุ่มของอำนาจ

มันเอาแต่ตัวเอง มันไม่เคารพในความเห็นผู้อื่น มันละเลย มันไม่เคารพกฎหมายจริงจัง มันเห็นการกระทำผิดมันก็ปล่อยปละละเลย มันเห็นคนกระทำผิดแล้วก็สนับสนุนก็มี เห็นว่าเป็นธุระไม่ใช่ก็มี 

นี่คือการกระทำนะของคนไทย เข้าใจมั้ย ลักษณะนี้คือการสะสมวิบากกรรมไปทีละเล็กทีละน้อย จะไปโทษใครไม่ได้ ...เพราะนั้นเวลามันสะสมขึ้นไปเรื่อยๆ จนเต็มที่เต็มฐาน มันก็แบ่งขึ้นมาเป็นกำลัง 

มันก็สร้างเป็นพรรคเป็นพวก เกาะกลุ่มส้องสุม ก่อให้เกิดความเกลียดชัง แล้วก็ต้องทำลายล้างกัน ...สุดท้ายคนไทยเราก็สืบทอดกันมาเป็นทายาท เข้าใจมั้ย 

เพราะลักษณะนี้มันไม่ใช่แค่ชั่วชีวิตนี้ มันสะสมมา กรรมพวกนี้มันสะสม ...เพราะนั้นเราก็รับผลโดยปริยายอยู่แล้ว เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระทำกรรมนี้ด้วย

เพราะนั้นการปฏิบัติ หรือนักปฏิบัติ หรือครูบาอาจารย์ท่านจึงบอกว่า...สิ่งที่จะเกิดก็ต้องเกิด ...แล้ววางจิตให้เป็นกลาง อย่าเข้าไปอะไรกับมันมากมาย 

อย่าคิดแก้ อย่าคิดต่อต้าน หรือคิดว่าจะช่วย หรืออะไรที่ว่าจะไม่ให้เกิด หรือทำให้มันคลี่คลาย ...มันทำไม่ได้หรอก ...แต่ว่าวางจิตถอยออก แล้วคอยเยียวยา แค่นั้นเอง

แล้วอย่างทุกวันนี้ บอกให้ มันเป็นเรื่องของสงครามสื่อ ...เราไม่รู้หรอกใครพูดจริง ใครพูดเท็จ มันซับซ้อน เราไม่รู้หรอกเป้าหมายที่แท้จริงของแต่ละคนแต่ละกลุ่มคืออะไร

พวกเรามันเป็นแค่เบี้ย...ที่รับรู้ข่าวสารแบบเขาจะป้อนให้ยังไง ...ถ้าเราอยู่แบบฉลาด ก็อยู่ด้วยจิตที่เป็นกลาง ถอยออก ให้หมดจากการเข้าไปร่วมเล่นกับเขา 

ประเทศจะอยู่รอดด้วยการออกมาจากปัญหาซะ ออกมาจากกลุ่มซะ ออกมาจากทุกกลุ่ม แม้กระทั่งกลุ่มสันติ บอกให้เลย มันมีอะไรซับซ้อนในนั้นทั้งหมดเลย

กลับมาอยู่เฉยๆ ทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นเป็นกลาง แค่นี้คือเหมือนกับเป็นก้อนน้ำแข็ง หยดน้ำเล็กๆ ที่เย็นอยู่ในเตาอบ ...ตัวนี้ต่างหากจึงจะทำให้มันร่มเย็น เข้าใจมั้ย

ไม่ใช่เราไปทำ หรือไปช่วยกันกระพือขึ้น ให้มันเกิดความแตกต่างแตกแยกมากยิ่งขึ้น ...มันเหมือนเข้าไปตอกลิ่มน่ะ ไม่ว่าด้วยการกระทำคำพูดใดก็ตาม 

จะพูดดูดีขนาดไหน พูดสมานฉันท์ขนาดไหน ลองพูดดูสิ เหมือนเป็นการตอกลิ่มให้มันจงเกลียดจงชังน่ะ ...เขาบอกว่ารักชอบจริง ถูกจริง มันก็ไปตีความว่าไอ้นี่พูดมีความนัย (หัวเราะกัน) อะไรอย่างนี้ 

คือมันแปลเปลี่ยนเจตนาเข้าข้างตัวเองหมด ...ขึ้นชื่อว่าความเห็น บอกแล้วไง ถ้าตั้งความเห็นเอาไว้อย่างไร ผูกความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นนั้นอย่างไร ...มันจะไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง

เราต้องทำใจให้เป็นกลาง จะยังไงก็ได้น่ะ ...จะยังไงก็ได้ ไม่ว่าฝ่ายไหน  ไม่ว่าจะได้ดั่งใจเรา พอใจเราหรือไม่พอใจ  ต้องวางจิตให้เป็นกลาง ...ทุกอย่างมันมีบทสรุปของเขาอยู่แล้ว

แต่ว่ามันจะไม่ได้ดั่งความเห็นของใครคนใดคนหนึ่งหรอก หรือว่าเป็นที่ยอมรับได้ทั้งหมดหรอก ...ก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง สงบ สันติ เยือกเย็นในภายในของเรา ให้มากที่สุดนั่นแหละ

คือเท่าที่จะทำได้นะ ...เราไม่ได้บอกว่าถึงให้ไม่หวั่นไหวเลย หรือไม่กระเทือนเลย...เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ นะ ...แต่ว่าให้มันมากที่สุดเท่าที่จะสงบสันติได้ในจิตเรา

เพราะนั้นมันจะสงบเยือกเย็นหรือสันติได้มากที่สุด...อยู่ที่ความปรุงแต่งเราน้อยที่สุด หรือการที่ให้ค่าหรือไปวิจารณ์สิ่งนั้นสิ่งนี้ คำพูดประเด็นนั้นประเด็นนี้น้อยลง 

พวกนี้มันจะเป็นตัวเร้าจิตให้เกิดอารมณ์ให้มากขึ้น ให้แบ่งกัน ให้หาหรือโยนความผิดให้กันและกัน ...มันเป็นยุคอย่างนี้แหละ จนกว่ามันจะอ่อนแรง ทั้งหมด ทุกฝ่ายน่ะ 

ก็ให้มันน้อยลง ในการเชื่อหรือว่ายึดมั่น ...เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในความคิดนั้นๆ เพราะว่าความเป็นจริงกับความที่เราคิดน่ะคนละเรื่องกัน เราอย่าให้ความคิดเป็นตัวนำหรือว่าเป็นสรณะ


(ต่อแทร็ก 1/26)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น