พระอาจารย์
1/29 (25530523A)
23 พฤษภาคม 2553
(ช่วง 3)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 1/29 ช่วง 2
โยม – กระท่อนกระแท่นค่ะอาจารย์
พระอาจารย์ – แล้วทำไมลมหายใจมันไม่กระท่อนกระแท่นล่ะ ทีลมหายใจยังไม่กระท่อนกระแท่นเลย
โยม – (หัวเราะ) มันชอบเผลอตัวเองเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ – เผลอก็รู้ว่าเผลอ ห้ามเผลอไม่ได้
โยม – ค่ะ ที่ผ่านมามันหลงโลกไปมากค่ะ อยู่กับสิ่งรอบกายมากไปหน่อย ให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยไปหน่อย
พระอาจารย์ – คน มนุษย์ ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้เรียนรู้ธรรม ของพระพุทธเจ้านี่ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนกบเฝ้ากอบัว
กบที่มันนั่งอยู่บนใบบัวแล้วก็อยู่กับกอบัว แต่ไม่รู้คุณค่าของบัวหรอก มันก็กระโดดไปโน่นมานี่ ไม่เห็นคุณค่าว่าดอกบัวนี่คือความหมายของพุทธะ ดอกบัวนี่เขาเอาไปบูชาพุทธะได้
ดอกบัวนี่เป็นที่ต้องการของมนุษย์ที่เขาเห็นว่ามีสาระมีคุณค่า
...เหมือนกัน เราได้กายวาจาจิตของเรามาเป็นมนุษย์นี่
แล้วมาเป็นมนุษย์คนไทย แล้วมาเป็นมนุษย์คนไทยที่ยังนับถือศาสนาพุทธ
แล้วยังมาเป็นมนุษย์คนไทยนับถือศาสนาพุทธที่ยังมีพระสอนอยู่
ในการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความลัดตรงและถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยตรง
ไม่ใช่เป็นคนที่ไปอยู่ในศาสนาไหนก็ไม่รู้
ไม่ได้เป็นคนที่ไม่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพุทธะเลย …ก็เห็นมั้ย โอกาสของเรามีอยู่แล้ว พร้อมอยู่แล้ว
แต่เรากลับมามองเห็นตัวกายวาจาจิตของเราเหมือนแค่กบเฝ้ากอบัว ...ไม่กลับมาอยู่กับกาย ไม่กลับมาเห็นความสำคัญของกายปัจจุบัน จิตปัจจุบัน
ถ้าอยู่กับกายจิตปัจจุบัน
จะเห็นคุณค่าของกายจิตปัจจุบันนี่ เพราะมันเป็นตัวที่...มรรคก็อยู่ตรงนี้
ปัญญาก็อยู่ตรงนี้ นิพพานก็อยู่ตรงนี้
โยม – คือหลักธรรมทั้งหมด
พระอาจารย์ – ก็อยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ย ...แต่เราไม่เห็นคุณค่า
โยม – แต่ก่อนเราไปแสวงหาข้างนอกไงคะ
พระอาจารย์ – แม้แต่การปฏิบัติธรรมก็ยังไปหาตรงนู้น ไปเอาธรรมจากครูบาอาจารย์ ...ทิ้งตรงนี้ เหมือนกับกบเฝ้ากอบัว
โยม – ไปเอาหลักนู้นหลักนี้
พระอาจารย์ – แต่ถ้าเราหยุดหา หยุดทำ หยุดแสวงหา และกลับมาอยู่ตรงนี้ มรรคก็อยู่ตรงนี้แล้ว ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ...กายปัจจุบันกับจิตปัจจุบัน
แต่เวลากลับมาอยู่ตรงนี้ แรกๆ ก็อาจจะขัดขืนหน่อยนะ ...มันไม่ม่วน มันไม่สนุก มันไม่มัน
โยม – ค่ะ มันคุ้นเคย
พระอาจารย์ – มันไม่เพลิดเพลินเท่าไหร่ มันเฉยๆ
โยม – ตอนเริ่มมันยากอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ
พระอาจารย์ – เพราะมันคุ้นเคยเพลิดเพลินกับอารมณ์ที่น่าใคร่ สนุกในการคุย เมามัน สนุกในการที่ได้ไปทำอะไรแล้วเพลิดเพลินในการกระทำนั้นๆ มันคุ้นเคยกับอาการนั้น
พอหยุดทำ ไม่ไปทำ มาอยู่กับที่เห็นกายเห็นจิตซื่อๆ ทื่อๆ บื้อๆ ..."เบื่อว่ะ เซ็ง ...อยากได้อะไรที่ดีกว่านี้ หรือเห็นอะไรที่มันเจริญหูเจริญตากว่านี้"
เนี่ย เหมือนกบเฝ้ากอบัวไหม ...คอยแต่จะหนีกายหนีจิตอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นคุณค่าของกายและจิตปัจจุบัน
นี่แหละคือก้อนธาตุก้อนธรรม ต้นธาตุต้นธรรม อยู่ที่นี้ ...กลับประเมินค่ามันต่ำ กลับประเมินสภาวะที่เป็นกลาง เป็นปกติ เป็นธรรมดานี้ต่ำ เหมือนมองข้ามออกไป
โยม – ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
พระอาจารย์ – เหมือนไก่เห็นพลอย
โยม – ค่ะ นึกว่าเพชรอยู่ข้างนอก
พระอาจารย์ – เพราะนั้น มีบางคำพูดที่เรียกว่า...ธรรมะ...นี่ อยู่ใกล้ ใกล้จนมองข้ามไป
โยม – พระอาจารย์คะ อย่างเมื่อกี้ที่พระอาจารย์พูดไปนี่ การอยู่กับตัวเองแล้วก็เจริญมรรคกับตัวเองนี่
ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเคยอยู่...อย่างเมื่อกี้พระอาจารย์บอกว่าแต่ก่อนเราไปแสวงหาข้างนอก ยกตัวอย่างเช่น เราพาตัวเองออกไปหาบุญ แสวงทำบุญตรงโน้นตรงนี้
เสร็จแล้วชีวิตพอตอนนี้มาอยู่กับตัวเอง
มาเจริญมรรคกับตัวเอง ถามว่า อานิสงส์ที่ได้...คือมันเหมือนกับสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยนะคะ เราเคยไปวัด
เราไปทำบุญกับพระสงฆ์อย่างนี้...กับการที่ไม่ทำอะไรเลยอยู่กับตัวเองอย่างนี้
พระอาจารย์ – กลัวจะไม่ได้อะไร
โยม – ค่ะ อยากได้คำตอบ
พระอาจารย์ – กลัวจน
โยม – กลัวจนบุญ
พระอาจารย์ – โลภนะนี่ ...
โยม – (หัวเราะ)
พระอาจารย์ – บารมีนี่ มีอยู่ ๓ ขั้น...นี่ ขั้นต้น ขั้นกลางเรียกว่าอุปบารมี... ทานขั้นต้น แล้วก็ทานขั้นอุปบารมี แล้วก็แม้แต่ทานก็ยังมีขั้นปรมัตถบารมี
ขั้นต้นก็เหมือนกับทั่วไป..ทำบุญ ...ถ้าอุปบารมีก็หมายถึง เอาตัวเข้ามาบำเพ็ญ
โยม – อ๋อ อย่างที่ไปปฏิบัติธรรมกัน
พระอาจารย์ – ปรมัตถ์ก็คือไม่ทำอะไรเลย ไม่หวังผลอะไรเลย
โยม – อ๋อ โยมเห็นหมดค่ะ แต่โยมไม่เข้าใจว่าอันนี้คืออะไร
พระอาจารย์ – ไม่เอาอะไรเลย แล้วไม่ได้อะไรเลย
โยม – นี่เรียกว่าทานขั้นสูงสุด
พระอาจารย์ – ถูกต้อง ...เพราะนั้นอานิสงส์เห็นผลทันตา
โยม – โยมก็รู้สึกอยู่กับตัวเองแล้วมันเป็นอย่างนั้น ก็เลยคิดว่ามันผิดรึเปล่า
พระอาจารย์ – การที่ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไร นั่นคือผลที่ได้รับในปัจจุบันทันตาเห็น นั่นล่ะคือปรมัตถบารมี
โยม – จากที่เราไปอยู่ข้างนอก ไปแสวงบุญข้างนอก มันเหมือนกับน้ำที่มันไม่รู้จักเต็ม
พระอาจารย์ – แน่นอน มีล้านหนึ่ง แจก มันก็มารับหมดล้าน มีสิบล้านแจก มันก็มารับหมดสิบล้าน มีร้อยล้านแจก ร้อยล้านก็หมดไป มีเท่าไหร่แจกก็ไม่พอ ทานเท่าไหร่ไม่มีคำว่าเต็ม
โยม – ใช่ ก็รู้สึกอย่างนั้น
พระอาจารย์ – อานิสงส์ก็ได้ ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันไม่รู้จักพอ...ด้วยความโลภ
โยม – โยมรู้สึกว่าสภาพทางจิตมันไม่เหมือนกัน
พระอาจารย์ – เพราะนั้นปรมัตถ์คือหยุดการกระทำ กลับมาอยู่ตรงนี้ในปัจจุบันธรรม ...บารมีทั้งสิบรวมลงอยู่เป็นปรมัตถ์ในที่อันเดียว
โยม – เหมือนที่พระอาจารย์เทศน์ไปเมื่อกี้
พระอาจารย์ – อือ กลับมาสู่ความโง่ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร แล้วก็ไม่เป็นอะไร แล้วแต่ว่ามันจะเป็นไปอย่างไร ...แล้วผลก็จะเกิดในปัจจุบันคือความปล่อยวาง มรรคผลก็จะปรากฏในปัจจุบันทันที
แต่ถ้ายังใช้ขั้นอุปบารมี
หรือทำเพื่อให้ได้อะไรมา ก็เหมือนข้าวคอยฝน แล้วก็ติด ...การทำบุญ การปฏิบัติน่ะ
เหมือนการติดสินบน ใช่มั้ย เหมือนการติดสินบน คอรัปชั่นน่ะ
ทำบุญสิบบาท จบอธิษฐานทีครึ่งชั่วโมง
(โยมหัวเราะ) เอาโว้ย ชาติหน้ารวยๆๆ ทั้งที่มันสิบบาทนะนี่ มันเกินไปไหม
เข้าใจมั้ย แล้วก็เอาไอ้บุญอย่างนี้ตั้งความหวังไว้เลิศหรู เลื่อนลอยเพ้อฝัน
โยม – แล้วคนส่วนใหญ่ก็ไปวัดด้วยหวังอานิสงส์อย่างนี้
พระอาจารย์ – ธรรมดา เป็นธรรมดา ...แม้แต่ของคนมีปัญญาก็มีระดับขั้นต่างกันไป
แล้วมันก็มักจะมาตำหนิไอ้พวกอย่างนี้ด้วยซ้ำ ว่าปฏิบัติยังไงไม่รู้จักสร้างบารมี
ไม่รู้จักทำนั่นทำนี่ เข้าวัดเข้าวาก็ไม่ค่อยเข้า หรืออะไรก็ตาม ว่ากันไป เห็นมั้ย การกระทำพวกนี้มันสร้างสมอะไรรู้ไหม ...สร้างสมความโลภ สร้างสมมานะ สร้างสมความว่ากูเหนือกว่า
ไม่รู้จักทำนั่นทำนี่ เข้าวัดเข้าวาก็ไม่ค่อยเข้า หรืออะไรก็ตาม ว่ากันไป เห็นมั้ย การกระทำพวกนี้มันสร้างสมอะไรรู้ไหม ...สร้างสมความโลภ สร้างสมมานะ สร้างสมความว่ากูเหนือกว่า
โยม – ยิ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปใหญ่
พระอาจารย์ – พระพุทธเจ้าไม่เคยแนะนำให้ทำอย่างนั้นเลย
แต่ว่าการบอกการสอน มันเปลี่ยนแปลง
มันถูกปฏิรูปไปในลักษณะที่อะไรก็เฉออกจากหลักมัชฌิมาปฏิปทา
หรือว่าผลที่ได้รับในปัจจุบัน
แต่ในขณะที่เราทำปรมัตถบารมี
เราไม่ได้ปฏิเสธการให้ทานเบื้องต้น น่ะ คือมีเหตุให้ทำก็ทำ ...ไม่ใช่เพราะอยากหรือไม่อยาก
(ต่อแทร็ก 1/29 ช่วง 4)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น