วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 1/30 (4)


พระอาจารย์
1/30 (25530523B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 พฤษภาคม 2553
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 1/30  ช่วง 3

พระอาจารย์ –  มันเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ตั้งฟ้าตั้งแผ่นดิน นี่ ที่มีวันนี้มา มันก็อยู่ด้วยลักษณะอย่างนี้แหละ ...นักปราชญ์ ผู้รู้ บัณฑิต ท่านก็บอกช่องทางออกให้อยู่แล้ว

ฟังอยู่แล้ว เข้าใจอยู่แล้ว ...แต่ขาดการประพฤติ การใส่ใจในการประพฤติตามปฏิบัติตาม ให้เนืองนิตย์ หรือว่าต่อเนื่องในการที่ว่าอยู่ในองค์มรรค เจริญมรรคตลอด ไม่ละเลย

สุดท้ายของการปฏิบัติก็คือผลที่การไม่กลับมาอีก ...เกิดมาเป็นทุกข์ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าเกิด อย่ามาเกิด ...ถ้าเกิดมาแล้วอย่าบ่น ยังไงก็ทุกข์อยู่แล้ว เป็นธรรมดา ถ้าไม่อยากทุกข์ อย่าเกิด

เกิดมาแล้วยังไงก็ต้องทุกข์ ยากดีมีจนทุกชนชั้นไป  ตั้งแต่คนรวยมหาเศรษฐี มหากษัตริย์ยันไพร่ยาจก ยังไงก็ทุกข์ ไม่มีตรงไหน คนไหนหรอก เกิดมาแล้วไม่มีทุกข์

ไปดู ไปถามดู ไม่มีอะไรหรอกที่เกิดมาแล้วจะไม่เกิดความคับแค้น ไม่มีอะไรที่เกิดมาแล้วมีความได้ดั่งใจตลอดเวลา ...เห็นมั้ย ยังไงๆ มันต้องอยู่ตรงนั้น ต้องอยู่กับอาการทางโลกนี้ เป็นธรรมดา

ไม่บ่น ...อดทน แล้วตั้งจิตให้เป็นกลาง ...ไม่มีเงื่อนไขกับสิ่งที่เรารับรู้ ไม่เพียรพยายามเข้าไปแก้ ผลักดัน ต่อต้าน รักษา ประคอง หวงแหน เสียดาย อาดูร ดีใจ เสียใจ กับสิ่งที่ปรากฏขึ้นทั้งภายในและภายนอก

นี่เรียกว่าอยู่ในองค์มรรคตลอด ปัญญาก็จะเห็นตามความเป็นจริง แล้วก็คลายออกๆ จนถึงที่สุด ...ไม่ต้องถามเมื่อไหร่ วันไหน หรือชาติไหน ...หน้าที่ ท่านให้ไว้อย่างเดียวคือเจริญมรรคเข้าไป

เจริญมาก..ปัญญาก็มาก เจริญน้อย..ปัญญาก็น้อย ไม่เจริญเลย..ก็โง่ๆๆๆ ...เป็นพุทธแท้ๆ ไม่เอาพุทธะ ไม่เอาธัมมะ ไม่เอาสังฆะเป็นสรณะ...ก็มีแต่ทุกข์ เป็นไปเพื่อความทุกข์มากขึ้นๆ

แล้วก็ต่อเนื่องกันไปจนถึงลูกถึงหลาน ...เราทำทุกข์คนเดียว เราสร้างสุขเรื่องเดียวนี่ เราก่อเหตุการณ์ขึ้นเรื่องเดียว มันทุกข์ไปถึงลูกหลาน มันจะทุกข์ไปถึงลูกหลานเหลนโหลนเลยแหละ


โยม –  มันจะจบไหมครับ

พระอาจารย์ –  ไม่จบ


โยม –  มันว่าเป็นชาติเลย มันหลอกให้ไปเกิดชัดๆ เลยนี่

พระอาจารย์ –  อือฮึ บางคนมันยังตั้งสัจจะไว้ด้วยว่า...เกิดมาชาติไหน ขอให้กู...อย่างนั้นอย่างนี้


โยม –  มันคือกับดักชัดๆ

พระอาจารย์ –  อือ ด้วยความคิดความเห็นนี่แหละ เป็นตัวพาไป  ด้วยความไม่รู้ ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน มันอยากไปเห็นภาพของไอ้นี่ตาย ไอ้นี่ล่มสลาย 

มันสร้างภาพกันอย่างนี้ แล้วมันพยายามวิ่งไปสู่เป้าหมาย ...นี่คือไปตามความหมายมั่น


โยม –  ที่จริงก็คือมันอาจจะโค่นกันไปโค่นกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

พระอาจารย์ –  ตั้งแต่สุโขทัยมาแล้ว ก็อยู่ด้วยอย่างนี้ คนไทยก็อย่างนี้ นิสัยอย่างนี้ รบราฆ่าฟันกันเองอย่างนี้ ด้วยความจะเอาชนะกัน มันเกิดความผูกขาดจองเวร ผูกเวรผูกกรรมเอาไว้ต่อเนื่องกันมา 

จะหลุดพ้นได้ก็มีแต่พระอริยะเท่านั้น ออกมาจากวังวนนี้ ...เพราะนั้นถ้าเห็นวังวน เห็นโดยรวมของวังวนนี้แล้วจะเบื่อหน่าย จะเริ่มรู้สึกว่าเบื่อหน่าย 

จะเริ่มเห็นความ...เห็นเป็นโทษ เห็นเป็นของไร้สาระ เห็นเป็นของที่ไม่ควรค่าแก่การเข้าไปเสวนาหรือร่วมด้วยเลย ...นี่เขาเรียกว่ามันเห็นด้วยปัญญา มันจะถอยออก

ซึ่งคนทั่วไปก็จะมีคำพูดมาดักกันไว้ว่า เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวรอด ไม่อาทร ไม่กตัญญูต่อแผ่นดิน ไม่กตัญญูต่อราชวงศ์ อยู่แบบคนหนักแผ่นดิน ไม่ช่วยเหลือกัน ต้องออกมาเฮ่วๆๆ ด้วยกัน

แล้วเราก็มาคาข้องกับสัญญาอารมณ์พวกนี้ ต้องแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าต้องไปหาความเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีสองมาตรฐาน อะไรอย่างนี้

เพราะเราจะถูกพวกนี้มาเขย่าจิตเรา เราจะหวั่นไหวไปตามอาการพวกนี้ ...เมื่อหวั่นไหวปุ๊บ มีการกระทำ มีจิตให้ไปก่อนแล้วนี่ ก็คือเราเข้าไปร่วมวงไพบูลย์ด้วยแล้ว

ถูกกระแสนั่นน่ะกลบ บดบัง หรือว่ากลมกลืน หรือว่ากลืนกินเข้าไป ทีละเล็กทีละน้อย ...กว่าเราจะรู้ตัวนี่ ถอนไม่ขึ้นแล้ว

แต่ถ้ารู้ทันซะเดี๋ยวนี้ ยังพอสลายตัวซะ มอบตัวซะ รับสารภาพซะ ก็จะรอลงอาญา ไม่งั้นจะโดนจำคุกตลอดชีวิต ถ้ายังถลำเข้าไป

คือหมายถึงตรงนี้นะ ยอมมอบตัวซะ คำพิพากษาก็แค่ตรงนี้ ก็แค่รอลงอาญา ยังมีกำหนดอยู่ ปีมั่งสองปีมั่ง เดือนมั่ง วันมั่ง ชั่วโมงมั่ง นาทีมั่ง ...อันนั้นคือรอลงอาญา ยังไม่ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต

หรือขั้นพิพากษาประหารชีวิต ก็ตายไปหลายคนแล้วโดยคำพิพากษา...ด้วยความที่ว่ามุ่งไปในอิมเมจที่สร้างไว้ แล้วกรรมและวิบากเหตุปัจจัยอีกหลายอย่างที่มาประกอบพร้อมกัน

น่าเบื่อนะ น่ากลัวนะ เห็นมั้ย เห็นภัยแห่งวัฏฏสงสารมั้ย เห็นภัยจากที่ความไม่รู้จักจบมั้ย ...ฆ่ากันชาตินี้ไม่พอ ตามฆ่ากันอีก เอาชนะกันต่อไป ไม่รู้เท่าไหร่

แต่ด้วยความอยากมีอยากเป็น เอาถูกเอาผิด เอาดีเอาชั่ว การกล่าวร้ายให้กัน การเบียดเบียนกันด้วยคำพูด การเบียดเบียนกันด้วยการกระทำ การเบียดเบียนกันด้วยความรู้สึก

เหล่านี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้หมดแล้ว ว่านี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก เป็นเหตุให้เกิดความไม่กลมกลืน ไม่สมดุล ไม่สันติ

แต่เราก็ยินยอมพร้อมใจ แล้วก็ตั้งใจด้วยที่จะทำ ...คำว่าตั้งใจทำจริงๆ ท่านเรียกว่าครุกรรม..กรรมหนัก ไม่ใช่ลหุกรรมที่ว่าเดินไปเหยียบมด เหยียบอะไรด้วยความที่ไม่เจตนาหรือจงใจนะ

แต่นี่ถูกปลูกฝังด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ นี่เป็นครุกรรม...ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายแกนนำ ทั้งคนตั้งรับ ด้วยความเจตนาซึ่งใส่ไปเต็มๆ ...นั่นล่ะ ครุกรรม

เพราะนั้นเวลามันส่งผลออกมาแล้วนี่ มันกระทบไปทั่วหย่อมหญ้า ...ทุกคนที่เป็นคนไทย ที่รู้สึกว่าตัวเป็นคนไทย  ถ้าได้ยินได้ฟังได้เห็นปุ๊บ จะมีอาการเดือดร้อน

มีความคับแค้น เสียใจ หรือดีใจ หรือสะใจ หรือเศร้าใจ หรือว่าขุ่นมัว กับการที่เห็นเหตุการณ์ หรือรับรู้กับการกระทำคำพูดของบุคคลต่างๆ นานา ...นี่คือกรรมร่วมกันของคนไทย

คนอื่นประเทศอื่นเขาฟังแล้วก็ โอเค บาย ...ธรรมดา ไม่รู้สึกอะไร ธรรมดามาก เพราะเขาไม่ใช่คนไทย ใช่มั้ย มันเป็นกรรมของคนไทยที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา

เพราะนั้นคนอื่นแก้ไม่ได้ ก็ต้องคนไทย ...แล้วแก้ด้วยวิธีการกระทำไม่ได้ ต้องแก้ด้วยความระบบของคำว่าหยุด ...ไม่ใช่สันติ รักสันติ อย่างที่ออกมาพูดกัน...แต่การหยุดของตัวเรานี่ ต้องเริ่มหยุด

หยุดให้ความเห็น หยุดวิพากษ์วิจารณ์ หยุดไปกล่าวโทษคนนั้น หยุดไปกล่าวโทษคนนี้ ...ถ้าทุกคนในสังคมนะ หยุดอย่างนี้นะ แค่นั้นน่ะ มันก็จะเกิดความสมดุลกัน

แต่เราพูดนี่มันเป็นเหมือนกับเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ...ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ยาก


โยม –  มันมองไม่เห็นทางอย่างนั้นเลย

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น อย่างพวกคนที่มาฟังก็บอก มันดูเห็นแก่ตัวนะนี่ ...เราบอก ดี เห็นแก่ตัวเข้าไปเยอะๆ  แล้วมันจะส่งต่อไปด้วยดี ถ้าอาจารย์เห็นแก่ตัวแล้วลูกศิษย์เห็นแก่ตัวตาม ดี

นี่ กลับมาอยู่อย่างนี้ เฉยๆ ซะ แก้อะไรไม่ได้ คิดเท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้ ออกไปเย้วๆ อะไรก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ...ทุกอย่างมันมีการกำหนดมาอยู่แล้ว ด้วยวิบากกรรม นะ มันเซ็ทไว้แล้ว เรียบร้อยแล้ว

เห็นมั้ย การกระทำต่างๆ มันเป็นเหตุปัจจัยที่ส่งต่อเนื่องกันมาๆ  เพราะอย่างงั้นจึงเกิดสิ่งนี้ เพราะสิ่งนั้น จึงเกิดสิ่งนั้นตามมา เพราะสิ่งนี้มาก จึงเกิดสิ่งนั้นมากตามมา ผลจะเป็นอย่างนั้น

เราจะไปเป็นตัวหนึ่ง คือเข้าไปเป็นฟันเฟืองในการที่จะไปเพิ่มให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง ...แต่ก็เถอะ ทุกอย่างก็คลี่คลายไปเอง มันมีอายุขัยของมัน อยู่ที่ว่า..แล้วก็รอว่า See you again ... To be continue

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามถึงข้างหน้า ...เพราะหน้าที่ของพวกเราคืออยู่ที่ใจปัจจุบัน เป็นผู้ดูที่ดี เป็นผู้ดูที่ไม่กระโดดเข้าไปร่วมกับเขาในใจ ในความรู้สึก

ไม่ไปหาถูกหาผิดกับสิ่งที่เราเห็นในโทรทัศน์ สิ่งที่เราได้ยินทางวิทยุ สิ่งที่เราได้ยินจากคนเขามาพูดมาเสนอ...เหมือนเซลส์แมนขายความเห็นน่ะ  ก็แค่หือ แค่อือ แค่เออ แค่ค่ะ...จบ เดี๋ยวก็ดับ

ง่ายๆ แค่เนี้ย รักษาปัจจุบันที่เป็นปกติ อยู่ในองค์มรรค ...แล้วจะได้ไม่กลับมาใหม่ หรือว่าไม่กลับมาซ้ำซาก หรือว่าไม่กลับมาโดยที่ว่าไม่รู้จักจบสิ้น

มันยังพอเห็นแสงสว่างปลายทาง ไม่ใช่เห็นความมืดมิดแล้วมันมีแต่เดินเข้าไปๆ ...แต่ละคนมันมีอยู่แล้ว แสงในอุโมงค์ แต่มันยังเดินลึกเข้าไปๆ หาทางออกไม่เจอ มันคิดว่าจะหาเจอทางนั้น

พระพุทธเจ้าบอกว่าทางนี้ๆ พระอริยสงฆ์ก็บอกทางนี้ๆ  มันก็บอกไม่ใช่ๆ ต้องทางนั้น ...มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า สงสัยบารมีมันสูงกว่า คนก็พร้อมใจจะเชื่อ เห็นมั้ย วิบากร่วมกันมันมีกำลัง


โยม –  เรายังโดนดึงเข้าไปเสวนา ไม่รู้เลยว่ามันจะพาไปข้างหน้าอีกเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วก็เอาคืนกันอยู่นั่นล่ะไม่จบ

พระอาจารย์ –  ไม่จบหรอก ...เมื่อเรารู้แล้วว่ามันไม่จบ เราต้องจบในตัวเองให้ได้ แค่นั้นเอง อย่าไปคิดว่าจะทำให้มันจบภายนอก หรือคิดว่าถ้าเราทำแล้วจะทำให้มันจบได้ง่ายขึ้น 

ไม่มีทาง ...เขามีบทบัญญัติของเขาในตัวอยู่แล้ว คืออายุขัย ...เรามันเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ อันหนึ่ง อย่าไปเพิ่มฟันเฟืองเลย มันจะซับซ้อนมากขึ้น


โยม –  เวียนว่ายตายเกิดเพื่อจะมาเอาอย่างนี้

พระอาจารย์ –  รอวันเวลาเอาคืนไง


.................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น