วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 1/30 (2)


พระอาจารย์
1/30 (25530523B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 พฤษภาคม 2553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 1/30  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  และเมื่ออยู่ในมรรค เจริญมรรคด้วยการรู้อยู่เฉยๆ เป็นปกติ ...นี่ เป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาสติ เกิดเท่าทันขณะแรกที่จิตเริ่มมีอาการผิดปกติ แล้วมหาสติก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ

ความแจ้งก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ความจางคลายก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่รู้อะไรเลย บางครั้งก็ยังสงสัย ทำไมเราเป็นอย่างนี้

ไม่เห็นเรารู้อะไร เราไม่เห็นพิจารณาอะไร ละอะไรเลย  ทำไมมันไม่ค่อยสนใจใส่ใจอะไรเลย มันคลายในตัวของมันเอง ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เรื่องรู้ราว ...เพราะ “เรา” มันเป็นแค่ความคิดความเห็นหรือสังขารจิต


โยม –  เหมือนกับการล้าง

พระอาจารย์ –  ก็คล้ายๆ ทำนองนั้น ชำระภายใน ล้างหรือเอาขยะออกจากภายใน หรือเอาสิ่งที่มันแขวนลอยอยู่ในจิตออกไป 

คืออาสวะพวกนี้ หรืออนุสัย คือสิ่งที่มันหมักหมม หรือเป็นตะกอนที่มันแขวนลอยอยู่ในใจ


โยม –  มานานมาก

พระอาจารย์ –  อือ มากมายมหาศาลด้วย 

เพราะนั้นแม้แต่ว่า ถ้าเราไม่เคยทัน หรือว่าปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจ ไม่สร้างปัจจัยให้เกิดสัมมาสติมากขึ้น ...ละก็ไม่ละ กลับเก็บเพิ่มด้วยการหลงไปพูด หลงคิด 

นี่คือการเก็บเข้ามาสะสม หมักหมม หรือเอาขยะเข้ามาสะสมภายใน เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย ...นานๆ ทีถึงมาสร้างสติสัมปชัญญะ รู้ทันเท่าทัน แล้วก็เกิดสัมมาสติขึ้นครั้งนึง 

แล้วก็ออกไปอีก...แล้วก็ทิ้ง แล้วก็เก็บ ...ทิ้งไปบาทหนึ่ง มันเก็บมาสิบบาท เอ้า ทิ้งบาทหนึ่งอีก เก็บสิบบาท ร้อยบาทอย่างนี้ มันก็เลย


โยม –  ไม่จบ

พระอาจารย์ –  จบ...แต่มันหลายชาติหน่อยนะ ...ไอ้ที่ไม่จบนี่หมายความว่า มันไม่เคยเอาออกเลยสักบาท...นี่คือคนทั่วไป 

มันเก็บลูกเดียว ...อะไรเป็นเรื่องหมด อะไรก็ใช่หมด อะไรก็จริงจังๆ ไปหมด อะไรก็ต้องได้ อะไรก็ต้องไม่ได้ ...อันนี้คือเป็นนักเก็บขยะโดยอาชีพ

แต่ เออ พอเริ่มปฏิบัติ...ถึงจะเอาออกสักบาทสองบาท ถือว่าเป็นพลวะปัจจัยหนึ่งแล้ว ...สะสม ขยันหน่อย นะ ความเพียรหน่อย นะ มากขึ้นๆ เพราะนั้นก็จะเอาออกมากขึ้นกว่าเอาเข้า

จนสุดท้าย มันออกอย่างเดียว...ไม่เข้าเลย ...คือรู้เฉยๆ ธรรมดา มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง..มันเป็นเช่นนี้เอง เห็นมั้ย ไม่มีเงื่อนไขต่ออะไรเลย ไม่ยินดียินร้ายเลย

ใครอยากว่ายังไง ใครจะข้ามหัวกูยังไง ใครจะก้าวร้าว ล่วงเกินยังไง  มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาหมด ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ ...เห็นมั้ย ยังพูดกันเลยว่า อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ นี่คือการเก็บเข้ามาทั้งสิ้น

ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่มีสาระอะไร ...อารมณ์ก็ไม่มีสาระอะไร อยู่ดีๆ ก็ไปสร้างมันขึ้นมา แล้วก็จดจำไว้ในภายใน นึกขึ้นเมื่อไหร่ก็เครียดมาเท่านั้น นึกเมื่อไหร่ก็โกรธ..โคตรโกรธเลย

นั่นคืออาการผลข้างเคียงของขยะที่มันเน่าบูดภายใน ...พอภายในมากขึ้น มันเน่าบูด  มันก็แผดเผาออกมาภายนอก ด่าแช้ดๆๆๆ แล้ว ...วจีสังขารก็เกิดแล้ว เป็นอกุศลกรรม

เมื่อเป็นอกุศลกรรมออกมา กระทบกับผู้อื่นที่ยังมีกิเลส เขาก็สนองกลับมาด้วยอกุศลกรรม...ก็เก็บกลับมาอีก ...นั่น เห็นมั้ย เห็นการวนเวียนมั้ย เห็นการไม่รู้จักจบมั้ย ด้วยการที่ไม่หยุด

วัฏฏะหรือความหมุนวนอยู่ใต้กระแสของโลกจึงเป็นอย่างนี้  ไม่มีคำว่าจุดจบได้เลย หาทางออกไม่ได้เลย ...วนอยู่อย่างเนี้ย ทีใครทีมัน โอกาสใครโอกาสมัน ได้โอกาสก็ใส่กัน เขาได้โอกาสเขาก็ใส่เรา

เหตุการณ์ต่างๆ มันก็บดขยี้เราไป โดยที่เราเห็นเป็นจริงเป็นจังไปหมด นั่งทุกข์ นั่น ...เขาฆ่ากันอยู่กรุงเทพ คนอยู่เชียงใหม่ก็ทุกข์ ไม่ได้ใกล้ตัวใกล้ตนอะไรเลย

เห็นในภาพเคลื่อนไหวอยู่ทีวี หูได้ยินแค่เสียง มันรู้สึกเป็นจริงไปหมด ทุกข์ ใช่ๆๆ เขาฆ่ากันตรงนู้น ทุกข์อยู่ตรงนี้ ...เออ ไม่ได้เห็นกับตาได้ยินกับหูตรงนั้นนะ ยังทุกข์เลย

เห็นมั้ย มันสร้างขึ้นมาเองนะ ทุกข์ ...จากการที่มันสร้างอิมเมจความเป็นจริง ความเป็นตัวเป็นตนของภาพเคลื่อนไหว ของคลื่นเสียงที่มากระแทกหู แล้วก็มาขยำรวมกัน ยำรวมกันในจิตด้วยความปรุงแต่ง

เกิดอารมณ์ร่วม เวทนายินดียินร้าย หงุดหงิดๆๆ ขุ่นมัว เศร้าหมอง คับแค้นอัดแน่น โกรธ พยาบาท ด่า รับไม่ได้ ...เห็นมั้ย ถ้าโง่มากก็ทุกข์มาก โง่น้อยก็ทุกข์น้อย ปัญญามากก็ทุกข์น้อย ปัญญาน้อยก็ทุกข์มาก

ถ้ามองเห็นทุกเรื่องเป็นธรรมดาของโลก ก็บอกว่าเห็นแต่ตัวเข้าไป พยายามเห็นแต่ตัวเข้าไว้ อย่าไปเห็นแต่คนอื่นหรือเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของเรา

คือภาษาโลกหรือภาษาคนทั่วไปเขาก็ว่าอย่างนี้เห็นแก่ตัว ...แต่เราบอกว่าเห็นแก่ตัวเข้าไว้เหอะ อย่าไปเห็นแก่คนอื่น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันจะสงบระงับเอง 

ถ้าทุกคนมันเห็นแต่ตัวเอง คือรู้เห็นแต่ตัวเอง รู้ตัวเอง ใช่มั้ย บอกให้เลย มันจะสงบได้อย่างนี้

เพราะนั้น การที่กลับมาเห็นตัวเองบ่อยๆ  ไม่ไปเห็นแก่ผู้อื่น ไม่ได้เห็นแก่การเอาความคิดของเราไปเสนอให้ความเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ...ความแตกต่าง ความแตกแยก ความแบ่งกัน มันน้อยลงทันที

แต่ที่มันเกิดขึ้นเพราะมันไม่รู้จักหยุด ...ไม่หยุดที่จะสร้างความคิด ไม่หยุดที่จะสร้างความเห็น ไม่หยุดที่จะสร้างการกระทำ ไม่หยุดการที่จะสร้างเป้าหมาย แล้วก็วิ่งไปตามเป้าหมายนั้นๆ

นี่เป็นเรื่องที่วิ่งไปตามลมๆ แล้งๆ ...ปล่อยให้ลมๆ แล้งๆ นี่เป็นวิถี...พาให้ประเทศไทยนี่ฆ่ากันแทบเป็นแทบตาย ด้วยวิถีอะไรก็ไม่รู้ ลมๆ แล้งๆ ทั้งสิ้นเลย

นี่คือความที่...จะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิล่ะ  พูดแค่นี้ก็รู้แล้วว่าความเห็นทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันออกมาจากความโง่เขลาทั้งสิ้น ...ใครจะพูดว่ากูถูก ใครจะพูดว่าดี ทฤษฎีนี้ใช่แล้วก็ตาม

มันออกมาจากความไม่รู้ทั้งสิ้น ใจมันไม่รู้ ใจมันมีกิเลส ใจมันน่ะมีความเห็นผิด ...เพราะนั้นสิ่งที่คิดออกมา สิ่งที่ผลิตออกมาเป็นความคิดความอ่าน ความเชื่อนี่

มันก็...เครื่องผลิตมันเจ๊ง เครื่องผลิตมันพัง เครื่องผลิตมันแย่น่ะ...สิ่งที่ผลิตออกมา เสื่อมหมดแหละ ไม่มีคำว่าเลิศเลอเพอร์เฟ็คหรอก ใช่ป่าว ...เพราะว่าจุดตั้งต้นของการเกิดความคิด คืออวิชชา ความไม่รู้

แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ท่านออกมาจากวิชชาล้วนๆ เลยนะ และเป็นสัพพัญญุตญาณล้วนๆ เลยนะ ...มันกลับไม่เชื่อ ว่าไม่จริง ไม่มีประโยชน์ แก้อะไรไม่ได้ เห็นแก่ตัว สังคมจะแย่ลง

เห็นมั้ย มันกลับเชื่อคำพูดของคนบางคน นักวิชาการบางคน หรือใครบางคน ที่เสนอความคิดเห็นที่ออกมาจากอวิชชา ...สมควรไหมล่ะที่มันจะตาย สมควรไหมที่มันรบกัน จงเกลียดจงชังกัน 

เพราะมันดูถูก มันไม่เคารพธรรม  ลบหลู่พระธรรม ...ลบหลู่พระธรรมคือลบหลู่ความจริง ...ไม่ได้หมายความว่าเอามือไปลูบพระพุทธเจ้าแล้วว่าลบหลู่นะ ...ลบหลู่ธรรมคือความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ วางเอาไว้

ท่านพูดไว้ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอณู ทุกเม็ด ทุกขั้นตอน ของปัจจยาการแห่งการเกิดภพ แห่งการเป็นไป ที่เรารับรู้ได้ด้วยการเห็นรูปแล้วก็ได้ยินเสียงออกมา...ว่าปัจจยาการแรกของสิ่งนี้คืออะไร

มันไม่เชื่อ มันคิดว่ามันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า มันคิดว่ามันแก้ได้ มันคิดว่ามันควบคุมได้ มันคิดว่ามันทำได้ มันคิดว่ามันสามารถหยุดได้ด้วยการกระทำ

แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง ถ้ามองด้วยปัญญา ก็บอกว่า...มันต้องเป็นเช่นนี้เอง ...เพราะคนมันมีกิเลส คนที่มีกิเลสเสนอมาให้คนที่มีกิเลส เหมือนผีคู่กับโลง ช่างเหมาะเจาะกันจัง

คนมีกิเลสเสนอความเห็นให้คนมีกิเลสรับฟังนี่ ผีกับโลงคู่กันเลย...ผีเน่ากับโลงผุ  สุดท้ายโดนฝัง ตายทั้งคู่ ...ไร้สาระสิ้นดี บอกให้เลย ตายเปล่า

เพราะนั้นน่ะ ถ้าเราตั้งมั่นหรือเชื่อในความเห็นใดความเห็นหนึ่ง แล้วพยายามทำไปตามความเห็นนั้นๆ ...นั่นคือออกนอกองค์มรรค นั่นคือสุดโต่ง

นั่นคืออัตตกิลมถานุโยค ทำไปตามความไม่อยาก หรือกามสุขัลลิกานุโยค ทำไปตามความอยากหรือความพอใจ ...จะไม่มีคำว่าจบได้เลย มันจะสืบเนื่องจองเวร ผูกเวรผูกกรรมกันต่อไป

เราบอกเลย มันต่อเนื่องกันมา ไอ้กลุ่มทั้งหลายนี่ มันก็ทำมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว  แล้วมันไม่ยอมจบน่ะ ถึงเวลามันจับกลุ่มรวมกัน ด้วยเหตุปัจจัยให้มันมารวมกลุ่มกันได้ มันก็มาเฮๆๆ กัน


โยม –  พระอาจารย์คะ ถ้าพูดถึงคนที่เขามีมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ มันก็มองในหลายๆ เรื่อง ก็ไม่น่าจะเกิดสัมมาทิฏฐิได้ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่มีทาง ...แต่เราก็ไม่ต้องไปหาถูกหาผิดกับอะไร แค่คิดออกไปก็ผิดแล้ว  ตัวเรานี่ แค่เราคิดออกไปหานี่ ผิดแล้ว บอกให้เลย อย่าไปหาถูกผิดภายนอก

เพราะถ้ายังคิดต่อไป หรือเคยคิดมาแล้วนี่ เห็นมั้ย มันเกิดความเห็นขึ้นมา แล้วเราจะเชื่อความเห็นนี้ขึ้นมา ความเห็นของเรานี่แหละ ...เห็นมั้ย เกิดการแบ่งแยกแล้วนะ

มีดี-มีชั่ว มีถูก-มีผิด เพราะผลจากการที่เราส่งออกไปคิด ...แล้วตอนนี้เป็นยังไง เราต้องมาเสวยผลแห่งการเชื่อความเห็นของเรา แล้วจึงเกิดความขัดแย้งในการที่รับไม่ได้กับคนที่มาพูดไม่เหมือนเรา

นี่วิบาก เสวยวิบากแล้วจากการที่หลงคิด หลงสร้างความเห็นใดความเห็นหนึ่งขึ้นมา แล้วก็คิดว่าถูก นี่ ...ก็บอกว่า มันผิดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว แค่นั้นเอง 


(ต่อแทร็ก 1/30  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น